Page 277 - สถานการณ์การละเมิดสิทธิแรงงานและบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงานในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
P. 277
แรงงานของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มแรงงานจังหวัดปทุมธานี ว่าค้างจ่ายค่าจ้างลูกจ้างจำนวน ๓๓ คน
ของเดือนเมษายน ๒๕๔๗ และจะแบ่งจ่ายให้ลูกจ้างเป็นสองงวดภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๗
ลูกจ้างของบริษัทรับเหมาค่าแรง เช่น บริษัท บี เอ็น จี เซอร์วิส จำกัด และบริษัทเอส ที ดี เบอริ่ง
จำกัด ถูกหักเงินค่าจ้างเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคม แต่ลูกจ้างไม่ได้รับบัตรประกันสังคมหรือได้รับบัตร
ล่าช้า จึงไม่ได้รับบริการจากกองทุนประกันสังคม ลูกจ้าแจ้งว่าเคยสอบถามเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม
ได้รับแจ้งว่าหากลูกจ้างจะร้องเรียนเรื่องหักเงินเพื่อสมทบกองทุนประกันสังคม อาจจะไม่มีงานทำให้เลือกเอา
ระหว่างมีงานทำกับตกงาน ลูกจ้างจึงไม่กล้าร้องเรียนติ่เจ้าพนักงานสำนักประกันสังคมจังหวัดปทุมธานี
เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ ผู้ร้องได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ถูกร้อง รวมทั้งสิ้น ๘ ข้อ ใน ข้อที่ ๒
ระบุชัดเจนว่าขอให้บริษัทฯ ยกเลิกการจ้างเหมาค่าแรงและให้รับเป็นพนักงานประจำ
นอกจากนี้ หาผู้ถูกร้องไม่พอใจหรือไม่ต้องการให้ลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรงรายใดทำงานที่สถาน
ประกอบกิจการของตน ผู้รับเหมาค่าแรงจะต้องเปลี่ยนตัวลูกจ้างในทันที
๓. เรื่องการเลิกจ้างลูกจ้างหญิงมีครรภ์
ในระหว่างวันที่ ๒๒ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๗ ผู้ถูกร้องได้ประกาศเลิกจ้างที่ทำงานอยู่ในหน่วย
ผลิต ๔ แห่ง จำนวน ๒๙๗ คน ในจำนวนนี้มีลูกจ้างหญิงมีครรภ์จำนวน ๑๐ คน รวมอยู่ด้วย ผู้ถูกร้องอ้าง
เหตุผลว่าต้องการลดขนาดองค์กรลง เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนตั้งแต่ ปี ๒๕๔๒ เป็นต้นมา โดยผู้ถูกร้อง
ยินดีจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ผู้ถูกร้องร้องแจ้งว่าการเลิกจ้างในครั้งนี้มิได้มีสาเหตุจากการมีครรภ์
ผู้แทนผู้ถูกร้องได้แถลงข้อเท็จจริงต่อศาลแรงงานกลางธัญบุรีว่า ณ วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ผู้ถูก
ร้องมีลูกจ้างจำนวน ๒๖๐ คน ในหน่วยผลิตทั้ง ๔ แห่ง ยังคงมีการผลิตตามปกติ ลูกจ้างของผู้ถูกร้องยังคง
ทำงานอยู่ทั้ง ๔ แห่ง แลผู้ถูกร้องได้ว่าจ้างบริษัทรับเหมาค่าแรงจัดหาลูกจ้างเข้ามาทำงานในกระบวนการ
ผลิตของ ผู้ถูกร้อง เช่น ในหน่วยผลิตที่ ๑ มีการรับลูกจ้างของผู้รับเหมาค่าแรง จำนวน ๗๘ คน ลูกจ้างหญิง
มีครรภ์ ที่ถูกเลิกจ้างทำงานอยู่ในหน่วยผลิตทั้ง ๔ แห่ง และผู้ถูกร้องทราบดีว่าลูกจ้างดังกล่าวมีครรภ์
กรณีนี้ลูกจ้างได้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดปทุมธานี
เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่ามิได้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ สถานประกอบการของผู้ถูกร้อง เพียงแต่โทรศัพท์สอบถาม
ข้อมูลจากฝ่ายผู้ถูกร้อง และชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการฯ ว่านายจ้างอ้างว่ามิได้เลิกจ้าง ลูกจ้างเพราะเหตุ
มีครรภ์ แต่เป็นเพราะต้องการลดขนาดองค์กร แลผู้ถูกร้องได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง อันเป็นการปฏิบัติ
ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แล้ว และเห็นว่าการเลิกจ้างชอบด้วยกฎหมาย
แล้ว โดยอ้างคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางธัญบุรีที่อนุญาตให้เลิกจ้างกรรมกรลูกจ้างโดยวินิจฉัยว่า
“นายจ้างประสบภาวะขาดทุน คำสั่งซื้อสินค้าลดลง และงานที่กรรมดารลูกจ้างทำอยู่เป็นส่วนงาน
ที่ผลิตเฉพาะผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ลูกค้าสั่งซื้อ แต่ปัจจุบันไม่มีคำสั่งซื้อแล้ว หากจะต้องจ้างกรรมการลูกจ้าง
ต่อไปย่อมไม่เหมาะสมกับสภาพที่เป็นอยู่ของบริษัท หากจะให้ย้ายไปทำงานที่แผนกอื่นก็จะไม่เป็นธรรม
กับลูกจ้างอื่น เพราะนายจ้างย่อมต้องเลิกจ้างลูกจ้างเพื่อลดขนาดองค์กร โดยอ้างคำพิพากษาฎีกา
ที่ ๗๓๓/๒๕๔๐” (คำพิพากษาศาลแรงงานกลางธัญบุรี คดีหมายเลขแดงที่ ธบ. ๖๗/๒๕๔๗ เรื่อง
ขอเลิกจ้างกรรมการลูกจ้าง วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๗ คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา)
ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ที่ถูกเลิกจ้างชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ให้ลูกจ้างกรอกแบบ คร.๗ เพื่อรับเงินค่าชดเชย
ตามกฎหมาย แต่ลูกจ้างต้องการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ลูกจ้างได้กลับเข้ามาทำงาน ไม่ต้องการค่า ชดเชย
เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างหญิงมีครรภ์กลับเข้ามาทำงาน หากลูกจ้าง
ประสงค์เช่นนั้น จะต้องไปฟ้องคดีต่อศาลแรงงาน จึงแนะนำให้ลูกจ้างรับเงินค่าชะเชย ลูกจ้างบางส่วน
มีความเดือดร้อน จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและเด็กในครรภ์ และไม่พร้อมที่จะฟ้องศาล
เรื่องจากใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายมากมาย บางคนจึงจำใจรับค่าชดเชย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างดำเนินการตรวจสอบคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดเสวนาเรื่อง แนวทางการแก้ไข
และบทเรียนหกปีของคณะอนุกรรมการสิทธิแรงงาน ๒๗๗
Master 2 anu .indd 277 7/28/08 9:23:18 PM