Page 92 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 92

83



                                  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
                  พุทธศักราช 2550 มีการบัญญัติให้ความคุ้มครองให้ชายหญิงมีความเสมอภาคกันและห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติ
                  ที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาอย่างผิวเผินแล้วจะทําให้เข้าใจได้ว่า

                  บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครองทั่วทุกภาคส่วนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน
                  ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าสิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นเอกสารที่ใช้ยันระหว่างรัฐ
                  กับประชาชน องค์กรของรัฐเท่านั้นที่จะละเมิดสิทธิ เสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองไว้ไม่ได้ รัฐธรรมนูญ
                  ไม่อาจให้ความคุ้มครองเอกชนและเอกชนด้วยกัน หากต้องการให้คุ้มครองดังกล่าว รัฐต้องออกกฎหมายมาเพื่อ
                  รองรับในการห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติในภาคเอกชน ทําให้รัฐธรรมนูญไม่คุ้มครองไปถึงการเลือกปฏิบัติระหว่าง

                  เอกชนด้วยกัน  จะมีบัญญัติคุ้มครองเป็นพิเศษเฉพาะในส่วนแรงงานภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีพระราชบัญญัติ
                  คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่ให้ความคุ้มครองลูกจ้าง โดยให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงอย่างเท่า
                  เทียมกัน

                                  ในปัจจุบันประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งไม่มีการบัญญัติรับรองเรื่องราวเหล่านี้
                  ไว้อย่างชัดเจน แต่หลักการสําคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม
                  และการไม่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นหลักสากลที่ต้องได้รับการปฏิบัติ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
                  ไทย ฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2557 ก็ยังคงรับรองไว้เป็นหลักการ ตามมาตรา 4 ดังนี้

                                  “มาตรา 4 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ
                  และความเสมอภาคบรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบ
                  ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว
                  ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

                                  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 30 บัญญัติไว้ว่า
                                  “มาตรา 30 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย
                                  ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
                                  การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด

                  เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายภาพหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
                  ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
                  จะกระทํามิได้

                                  มาตรการที่รัฐกําหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพ
                  ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม"
                                  จะเห็นได้ว่าในรัฐธรรมนูญของไทยมิได้มีการให้คํานิยามการเลือกปฏิบัติไว้ว่ามีความหมาย
                  ว่าอย่างไร แตกต่างกับในกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายของสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสวีเดน
                  แต่เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัตินี้ หมายความว่า ตามหลักความเสมอภาคตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ในมาตรา 30

                  กําหนดให้มีการเลือกปฏิบัติได้ แต่ต้องเป็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรมคือการเลือกปฏิบัติกับบุคคลที่แตกต่างกัน
                  เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันโดยการเลือกปฏิบัตินั้นจะต้องมีเหตุผลควรแก่การรับฟังได้ การเลือกปฏิบัติโดย
   87   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97