Page 67 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 67

58



                                         จากข้อเท็จจริงดังกล่าวศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่า  การที่จะปฏิเสธผู้สมัคร
                  รายใดจะต้องมีเหตุผลชัดเจนและรับฟังได้ว่าผู้สมัครรายนั้นมีสุขภาพกายและจิตใจอย่างไรจึงไม่สามารถปฏิบัติ
                  หน้าที่ในตําแหน่งข้าราชการอัยการได้ แม้ผู้สมัครจะมีกายพิการ แต่ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ โดย

                  พิจารณาจากขณะที่ผู้สมัครเป็นทนายความ  ก็สามารถยืนซักค้านพยานในศาลได้ตามปกติ  และออกไป
                  ปฏิบัติงานหรือตามประเด็นไปสืบที่ศาลต่างจังหวัดโดยขับรถยนต์ส่วนตัวไปด้วยตนเองเป็นประจํา แม้ผู้สมัคร
                  จะมีความแตกต่างด้านสุขภาพกาย แต่ความแตกต่างดังกล่าวก็ไม่ถึงขนาดที่จะเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่
                  พนักงานอัยการที่มีลักษณะงานเช่นเดียวกันทนายความ การมีมติไม่รับสมัครโดยไม่พิจารณาถึงความสามารถ
                  แท้จริงในการปฏิบัติงานของผู้ฟูองคดี  จึงไม่มีเหตุผลหนักแน่นพอ  มติของ ก.อ.จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบ

                  ด้วยมาตรา  33  (11)  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝุายอัยการ  พ.ศ.2521  และเป็นการเลือกปฏิบัติที่
                  ไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟูองคดีตามมาตรา 30 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
                                         ข้อเท็จจริงเดียวกันนี้เคยพิจารณาในศาลรัฐธรรมนูญในคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่

                  44/2545 โดยยกหลักการมาตรา 30 ที่บัญญัติห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะความ
                  แตกต่างทางด้านถิ่นกําเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทาง
                  เศรษฐกิจหรือสังคม  ความเชื่อทางศาสนา  การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติ
                  แห่งรัฐธรรมนูญ แต่ศาลได้อธิบายเพิ่มเติมว่าการจะรับบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งใด นอกจากการพิจารณาความรู้

                  ความสามารถ ยังต้องพิจารณาความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหน่งนั้นด้วย เพราะในการดํารงตําแหน่งพนักงาน
                  อัยการบางครั้งต้องมีการปฏิบัติหน้าที่นอกศาล  และการคัดเลือกบุคคลไปดํารงตําแหน่งพนักงานอัยการมี
                  มาตรการที่เข้มงวด ซึ่งศาลยกมาตรา 29 วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า การจํากัดสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
                  จะกระทํามิได้  เว้นแต่อาศัยอํานาจตามกฎหมายเฉพาะที่รัฐธรรมนูญนี้กําหนดไว้และบังคับใช้ได้เท่าที่จําเป็น

                  เท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสําคัญแห่งสิทธิเสรีภาพไม่ได้ และตามวรรคสองยังได้กําหนดว่ากฎหมาย
                  ตามวรรคหนึ่งต้องมีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไป ต้องไม่มุ่งบังคับใช้แก่กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคล
                  หนึ่งเป็นการเจาะจง ซึ่งต้องมีการระบุบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่ให้อํานาจในการตรากฎหมายนั้นด้วย ดังนั้น
                  ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่าพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝุายอัยการ พ.ศ.2521 มาตรา 33 (11) เป็น

                  การบัญญัติโดยเข้าลักษณะตามข้อยกเว้นของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 ซึ่งไม่กระทบกระเทือนถึงสาระสําคัญแห่ง
                  สิทธิและเสรีภาพ  มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปและไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือบุคคลใด
                  บุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง และไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 30

                                         คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.14/2548 กระทรวงการคลัง
                  ได้อนุมัติให้รัฐวิสาหกิจจ่ายเงินเพิ่มพิเศษให้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจในตําแหน่งวิชาชีพสาขาที่ขาดแคลนเฉพาะ
                  ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (กลุ่มเดิม) เมื่อ พ.ศ.2536 ต่อมา 1 มกราคม พ.ศ.2544 ให้ระงับการจ่ายเงิน
                  เพิ่มพิเศษ และ 30 ตุลาคม พ.ศ.2544 กลับมีมติให้จ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่พนักงานรัฐวิสาหกิจเฉพาะการปฏิบัติงาน
                  ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  โดยมีเงื่อนไขต้องเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจในตําแหน่งสายงานหลักซึ่งหา

                  บุคลากรทดแทนได้ยาก และปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเคยได้รับเงินเพิ่มพิเศษอยู่เดิมก่อนที่
                  คณะรัฐมนตรีมีมติให้ระงับการจ่ายและมีตําแหน่งต่ํากว่าระดับผู้อํานวยการฝุายลงมา มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72