Page 127 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 127
118
(สมัยสามัญ ครั้งที่ 2), 2540 : 230-231) ซึ่งมีปรากฏในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน แต่การคุ้มครองตาม
พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่นํามาใช้กับแรงงานภาครัฐ เพราะมาตรา 4 ของพระราชบัญญัตินี้ บัญญัติมิให้นํา
พระราชบัญญัตินี้ไปบังคับใช้กับราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น รวมถึงรัฐวิสาหกิจ
ดังนั้น จากการพิจารณาการให้ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
เป็นการคุ้มครองไม่ให้หน่วยงานของรัฐออกกฎหมาย หรือมีการกระทําที่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็น
ธรรม และคุ้มครองไม่ให้นายจ้างเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้าง ซึ่งหมายถึงแรงงานภาคเอกชนที่จะได้รับความคุ้มครอง
แม้กฎหมายจะพยายามบัญญัติถึงความเสมอภาคเท่าเทียม และห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติที่
ไม่เป็นธรรม แต่แนวคิดต่างๆ นี้ จะไปสู่จุดหมายที่เป็นความจริงได้ ต้องอาศัยการทํางานของกลไกทางกฎหมาย
กระบวนการยุติธรรมที่ถูกใช้ในศาล การตีความกฎหมาย จากการศึกษากลไกต่างๆ นี้ สรุปผลได้ดังนี้
1) ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญได้ให้คําอธิบายแนวคิดการเลือกปฏิบัติว่าแม้รัฐธรรมนูญจะได้ให้
ความคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันในสิทธิและเสรีภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้
ความคุ้มครอง จะจํากัดหรือเลือกปฏิบัติไม่ได้เลย การจํากัดสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นได้ โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไข
ในมาตรา 29 ที่บัญญัติไว้ว่า
“การจํากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทํามิได้ เว้นแต่
โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กําหนดไว้และเท่าที่จําเป็นเท่านั้น
และจะกระทบกระเทือนสาระสําคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปและไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่
กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ทั้งต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อํานาจ
ในการตรากฎหมายนั้นด้วย
บทบัญญัติวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้นํามาใช้บังคับกับกฎหรือข้อบังคับที่ออกโดย
อาศัยอํานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายด้วย โดยอนุโลม”
กล่าวคือ ต้องเป็นการจํากัดสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ทําได้ โดยทําได้
เท่าที่จําเป็นเท่านั้น และจะต้องไม่กระทบกระเทือนสาระสําคัญแห่งสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้และ
ต้องบังคับได้เป็นการทั่วไปไม่มุ่งหมายจะบังคับใช้แก่กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือบังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดย
เฉพาะเจาะจง
ส่วนมาตรา 30 ที่บัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกําเนิด
เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือ
สังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
จะกระทํามิได้