Page 87 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง ปัญหาและมาตรการทางกฎหมายในการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว
P. 87
๗๒
(๓) กรณีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเวชระเบียน
(๔) กรณีการติดต่อหรือส่งข้อความเพื่อขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลอันก่อให้เกิด
ความเดือดร้อนร่าคาญ
(๕) กรณีการเปิดภาพยนตร์หรือเพลงบนในรถโดยสารระหว่างจังหวัดอันเป็นการ
รบกวนผู้โดยสาร
(๖) กรณีการปิดป้ายโฆษณาบนหน้าต่างรถโดยสารประจ่าทางหรือรถไฟฟ้าอันเป็นการ
บดบังทัศนียภาพภายนอก
(๗) กรณีการถ่ายภาพของผู้อื่นโดยผู้ที่ถูกถ่ายภาพนั้นไม่ได้ให้ความยินยอมและน่าไป
พิมพ์เผยแพร่
(๘) กรณีเรือนจ่าหรือห้องขังมีความเป็นอยู่อย่างแออัด ขาดสุขลักษณะที่ดี
(๙) กรณีการตรวจดูหรือเปิดอ่านจดหมายของผู้ต้องขังในเรือนจ่า
(๑๐) กรณีการติดกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในห้องขังของผู้ต้องขัง หรือสถานที่
สาธารณะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัย เช่น โรงภาพยนตร์
(๑๑) กรณีเจ้าหน้าที่ต่ารวจน่าตัวผู้ต้องหาไปท่าแผนประกอบค่ารับสารภาพ หรือการที่
เจ้าหน้าที่ต่ารวจได้เผยแพร่ภาพถ่ายของผู้ต้องหาในคดีอาญาไปตามสื่อต่างๆ
ในส่วนนี้ คณะผู้วิจัยจะได้ท่าการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาในกรณีศึกษาแต่ละกรณีดังกล่าว
ข้างต้นว่าการกระท่าในแต่ละกรณีนั้นเป็นการกระท่าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับสิทธิใน
ความเป็นส่วนตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร และน่าเสนอความเห็นประกอบประกอบ
ข้อพิจารณาและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางการพิจารณาของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติต่อการกระท่าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัว อันเป็น
วัตถุประสงค์หลักของงานศึกษาวิจัยนี้ ทั้งนี้ การวิเคราะห์และน่าเสนอความเห็นของคณะผู้วิจัยในแต่ละ
กรณีศึกษา คณะผู้วิจัยจะใช้หลักการรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวตามหลักสากลเป็น
เกณฑ์ในการพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและอนุสัญญาแห่งยุโรปว่า
ด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ดังนั้น การวิเคราะห์และน่าเสนอความเห็นต่อ
กรณีศึกษาในแต่ละกรณีจึงแบ่งหัวข้อออกเป็นสามประการ ได้แก่ ข้อเท็จจริง ประเด็นปัญหาทาง
กฎหมาย และแนวทางการพิจารณา ดังมีรายละเอียด ดังนี้