Page 217 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 217
216 แดศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน
ด้วยมโนทัศน์สิทธิชุมชน นอกจากจะพบว่าเขาเสนอทัศนะเกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องสิทธิการจัดการทรัพยากร
และการละเมิดสิทธิชุมชนไว้ในวรรณกรรมอย่างไรแล้วนั้น ข้อคิดที่ได้ก็ฉายให้เห็นความสําคัญสิทธิการจัดการ
ทรัพยากรในฐานะทางออกแห่งปัญหา การใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมือสื่อให้เห็นสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่าใน
ข้อนี้เองที่ทําให้วรรณกรรมของวัธนาแสดงทัศนะทั้งนิเวศสํานึกและสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรได้อย่าง
ชัดเจน
แม้จนถึงขณะนี้ “ป่าชุมชน” หรือ “สิทธิชุมชน” ในสังคมไทยได้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับ
ชุมชนที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้เพราะต่างฝ่ายต่างยกข้ออ้างมาคัดง้างกันเสมอ ชุมชนมองว่ารัฐใช้ระบบสองมาตรฐาน
เช่น การตั้งคําถามว่า ทําไมรัฐให้สัมปทานป่าไม้แก่นายทุนแต่ขับไล่ชุมชน ขณะที่รัฐก็กล่าวอ้างถึงปัญหา
สิ่งแวดล้อม รัฐมองว่าชุมชนคือผู้ทําลายสิ่งแวดล้อม ปัญหาดังกล่าวนําไปสู่ความพยายามในการไขประตูทางออก
ของกลุ่มนักวิชาการหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะนักวิชาการด้านป่าไม้ นักวิชาการด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
ตลอดจนนักวิชาการอิสระ นักสิทธิมนุษยชน เขาเหล่านั้นเชื่อว่าแนวคิดเรื่องป่าชุมชนและสิทธิของชุมชนซึ่งเป็น
วิธีประสานประโยชน์ให้ทุกฝ่าย ทั้งป่า คน ชุมชนและรัฐคงไม่สัมฤทธิผล เพราะต่างฝ่ายต่างมุ่งมองปัญหากัน
คนละด้าน ปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นเกี่ยวพันถึงปัญหาการจัดการทรัพยากร เกี่ยวพันกับคน/ชุมชน เป็นปัญหาลูกโซ่
ซึ่งอํานาจและการจัดการของรัฐอย่างเดียวคงไม่อาจแก้ไขได้ การนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ
ภาคประชาชน โดยนัยนี้ หากรัฐตระหนักว่าประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประเทศชาติที่แท้จริง รัฐจงเชื่อมั่นใน
ศักยภาพของประชาชน จงศรัทธาและเห็นคุณค่าในวิถีชุมชน ท้องถิ่น เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจน
ต้องตระหนักถึงสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติด้วย
หมายเหตุ: ผู้เขียนบทความขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สรณัฐ ไตลังคะ และอาจารย์นัทธนัย ประสานนาม
ที่ให้คําแนะนําในการแก้ไขปรับปรุงบทความนี้