Page 216 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 216

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   215



                            สิ่งที่น่าสนใจคือ ภาพธรรมชาติและวิถีชุมชนที่ปรากฏในวรรณกรรมของวัธนา บุญยังสอดคล้องกับ
                     สิ่งที่นักวิชาการที่ศึกษากรณีป่ากับชุมชนไว้มากมายได้อธิบายไว้ เช่น เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ (2540: ไม่ปรากฏ

                     เลขหน้า) ให้ความคิดเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับระบบนิเวศป่าในท้องถิ่นเช่นที่กล่าวไว้ใน
                     เอกสารข่าวสารป่ากับชุมชน  ปีที่ 4 ฉบับที่ 8  ประจําเดือนกันยายน ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างป่ากับชุมชนจะ
                     ราบรื่นและยาวนานเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของชุมชนเป็นสําคัญ ชุมชนล่มสลายป่าก็หมด ป่า

                     หมดชุมชนก็ล่มสลาย ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างป่ากับชุมชนจึงเป็นที่รับรู้กันมานาน ดังนั้นเพื่อสร้างกลไก
                     การบริหารจัดการป่าที่เหมาะสม จึงต้องมีการพัฒนาองค์กรชุมชนสร้างแผนการจัดการนิเวศป่าชุมชน โดย

                     ชุมชนเป็นผู้ทําแผนการจัดการนิเวศป่าชุมชนจะช่วยให้เห็นภาพรวมของป่าทั้งผืน ทําให้รู้จักเข้าใจและเห็น
                     คุณค่าป่าผืนใหญ่ ขณะเดียวกันก็จะช่วยให้มองเห็นระบบนิเวศย่อยๆ ในระบบนิเวศป่าผืนใหญ่ เช่น ที่สูงเป็น

                     ป่าดิบเขา ที่โคกเป็นป่าโคก หนองน้ําหรือที่น้ําท่วมขังเป็นฤดูกาลก็มีป่าพรุหรือป่าบุ่งป่าทามขึ้นอยู่ ที่ดินตื้นมี
                     กรวดหินมากอากาศแห้งแล้งก็มีป่าเต็งรังขึ้น หากมีดินหนาขึ้นมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นมาสักหน่อยก็จะมีป่าเบญจ

                     พรรณหรือป่าดิบแล้ง เป็นต้น ดังนั้นหากรู้จักระบบนิเวศดีพอ รู้จักเนื้อหาองค์ประกอบของระบบนิเวศที่มีอยู่
                     ในป่า รู้จักกฎเกณฑ์หน้าที่ตามธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ร่วมกันในป่า  รู้ถึงผลกระทบและรู้จักจัดการกับ
                     ผลกระทบจากการเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์สรรพสิ่งจากระบบนิเวศ และตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ คนกับระบบนิเวศ

                     ก็จะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ทําลายซึ่งกันและกัน คนไม่ทําลายป่าและป่าก็จะไม่ทําลายคน


                       สรุป

                            แม้ว่าศาสตร์แห่งวรรณกรรมจะไม่ได้มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการวิพากษ์ปัญหาเรื่องสิทธิการ
                     จัดการทรัพยากรหรือปัญหาเรื่องป่าชุมชน แต่ผู้ศึกษาก็ได้ประจักษ์อยู่ตลอดว่าวรรณกรรมทําหน้าที่กระตุ้น

                     เตือนให้สังคมฉุกคิดได้ทุกปัญหาที่รายรอบตัวเรา ทั้งปัญหาใหญ่อย่างสิ่งแวดล้อม ปัญหาสิทธิมนุษยชน ปัญหา
                     ทางการเมือง ปัญหาครอบครัว ดังนั้นการอ่านวรรณกรรมอย่างลุ่มลึกจึงช่วยทําให้เราเข้าใจโลก เช่น การอ่าน

                     วรรณกรรมด้วยกรอบการวิจารณ์วรรณกรรมเชิงนิเวศที่บูรณาการศาสตร์แขนงต่างๆ เช่น วรรณกรรมศึกษา
                     ต้องเป็นทั้งนักคติชนวิทยา นักประวัติศาสตร์ นักวัฒนธรรมศึกษา นักนิเวศวิทยาและอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้
                     การวิจารณ์วรรณกรรมเชิงนิเวศจึงน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่นักวรรณกรรมเสนอมาเพื่อช่วยไขปัญหาและ

                     ทางออกในเรื่องสิ่งแวดล้อม รวมถึงเรื่องสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรด้วย
                            การอ่านวรรณกรรมและวิจารณ์วรรณกรรมเชิงนิเวศจะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวที่เกี่ยวกับผืน

                     แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ เมื่อนํากรอบวิธีคิดการวิจารณ์วรรณกรรมเชิงนิเวศมาพิจารณาวรรณกรรมของวัธนา
                     บุญยัง จึงพบว่างานเขียนกลุ่มนี้เป็นวรรณกรรมเชิงนิเวศที่มีลักษณะเด่น คือ ผู้แต่งนําเสนอภาพของธรรมชาติ

                     โดยใช้ป่าใหญ่ไพรกว้างเป็นตัวแทนของธรรมชาติ “ป่า” คือฉากในวรรณกรรมของวัธนา ตัวละคร “นายพราน”
                     คือผู้เชื่อมประสานความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่าและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เมื่ออ่านวรรณกรรมของวัธนา
   211   212   213   214   215   216   217   218   219   220   221