Page 126 - แด่ศักดิ์ศรีเสมอกันทุกชั้นชน : วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา
P. 126

วรรณกรรมกับสิทธิมนุษยชนศึกษา   125


                                   “The act that one does, the act that one performs, is, in a sense, an act
                            that has been going on before one arrived on the scene. Hence, gender is an act
                            which has been rehearsed, much as a script survives the particular actors who

                            make use of it, but which requires individual actors in order to be actualized and
                            reproduced as reality once again” (Butler,1990: 272)

                            สําหรับบัทเลอร์ เหตุที่การครอบงําทางอุดมการณ์ (hegemony)  และมาตรฐานแบบรักต่างเพศ

                     (heteronormative)  ยังคงมีอํานาจในการควบคุมความคิดของคนในสังคมได้นั้น เนื่องมาจากการที่คนใน
                     สังคมได้  “แสดง” บทบาทที่ซ้ําไปซ้ํามาของ “gender  act”  ในชีวิตประจําวัน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การพูด
                     การแต่งกาย สําหรับบัทเลอร์แล้ว ความแตกต่างระหว่างความเป็นส่วนตัวกับวิถีแห่งสังคมเป็นเพียงเรื่องที่แต่ง

                     ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกฎระเบียบแบบแผนที่มีอยู่ในสังคมเท่านั้น การที่บัทเลอร์ตั้งคําถามเกี่ยวกับการแสดงออก
                     ทางเพศสถานะนี้ขึ้นมาก็เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสําคัญในการต่อสู้ของตัวตนที่ถูกกดทับโดยถูกทําให้แปลกแยก

                     จากคนส่วนใหญ่ในสังคม บัทเลอร์จึงเสนอว่า กฎ ระเบียบแบบแผน ความเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่เป็นเพียง “การ
                     แสดง” ที่ซ้ําไปซ้ํามา ถูกผลิตซ้ําจนเป็นที่ยอมรับ หาได้มีความจําเป็นที่จะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป การท้าทาย

                     จึงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ

                            แนวคิดของบัทเลอร์ทรงอิทธิพลอย่างมาก โดยในเฉพาะการศึกษาด้านเพศสถานะและเพศวิถี

                     นักวิชาการบางคนใช้ทฤษฎีของบัทเลอร์อธิบายปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเพศสถานะและเพศวิถีในบทละคร
                     เรื่อง Twelfth Night ของเชกสเปียร์ ในบทละครนี้มีตัวละครชื่อไวโอลา (Viola) ซึ่งปลอมเป็นชายแล้วใช้ชื่อ

                     เซซาริโอ (Cesareo)  และได้ทําหน้าที่เป็นพ่อสื่อให้เจ้านายของตนคือดยุกออร์ซิโน (Duke  Orsino) กับโอลิเวีย
                     (Olivia)  แต่เหตุการณ์ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อโอลิเวียไปหลงรักเซซาริโอซึ่งก็คือไวโอลาที่ปลอมตัวเป็นชาย
                     ความรักระหว่างตัวละครทั้งสองตัวนี้ถูกนํามาตีความทั้งในฐานะตัวละครที่มีความปรารถนาต่อเพศเดียวกัน

                     (homoerotic characters) และตัวละครที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ชายในเรื่อง (homosocial characters)
                     (Charles, 1997: 121-141)  นอกจากนั้น นักวิชาการบางคนได้นําแนวคิดเรื่อง “performativity” มาใช้ใน

                     การอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ชนชั้น และสีผิวด้วย นอกเหนือจากการอธิบายเรื่องเพศสถานะ กล่าว
                     เฉพาะบริบทของเชกสเปียร์ศึกษา เช่น การนําทฤษฎีของบัทเลอร์มาอธิบายความมีตัวตนของโอเทลโล

                     (Othello)  ซึ่งเป็นตัวละครผิวดําว่าแท้จริงแล้วความเป็นคนผิวดําของโอเทลโลก็เป็นสิ่งที่เกิดมาจาก “การ

                     แสดง” เช่นกัน (Chakaravati, 2003: 39-55)

                            ในบทความนี้ผู้เขียนบทความต้องการนําทฤษฎีของบัทเลอร์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาเรื่องชาติพันธุ์
                     ในบทละครของนักประพันธ์อเมริกันเชื้อสายเอเชีย โดยมีบทละครองก์เดียวเรื่อง Bondage (1990)  ของ

                     เดวิด เฮนรี หวัง (David Herny Hwang) เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับวิธีการที่ผู้ประพันธ์สร้าง
   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130   131