Page 184 - ภาษาเพศในสังคมไทย : อำนาจ สิทธิและสุขภาวะทางเพศ
P. 184

บทที่ 4 เพศวิถี: หญิงรักหญิง  167


                               พฤติกรรม การเลียนแบบ หรือตัวตนที่ไมอาจเปดเผย

                                     การเกิดขึ้นของคําวา “หญิงรักหญิง” และ “กลุมอัญจารี” อาจดูเหมือนเปน

                               ปรากฏการณใหมของสังคมไทย แตที่จริงแลวเรื่องราวพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ
                               ระหวางผูหญิงกับผูหญิงเปนสิ่งที่มีมานานแลว โดยมีหลักฐานปรากฏใหเห็นอยู
                               มากมายในประวัติศาสตรผานคําวา “เลนเพื่อน” ทั้งในกฎมณเฑียรบาลสมัย

                               สมเด็จพระเจาอูทองที่มีบทลงโทษสนมกํานัลที่คบกันฉันชูสาว ในกลอนเพลงยาว
                               สมัยตนรัตนโกสินทรที่แตงขึ้นจากเรื่องราวความสัมพันธระหวางหมอมหามสองคน
                               ในสมัยรัชกาลที่ 3 และในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 4 ที่ทรงเตือนพระราชธิดา
                               ของพระองควา “อยาเลนเพื่อนกับใครเลย มีผัวมีเถิด” คําวา “เลนเพื่อน”  ในที่นี้
                               เปนคํากิริยา อธิบายถึงการมีเพศสัมพันธ หรือการมีความสัมพันธเชิงชูสาว

                               ระหวางผูหญิงกับผูหญิงดวยกัน แตไมไดหมายถึง บุคลิกภาพ หรือตัวตนทาง
                               เพศภาวะ ตัวตนทางเพศวิถีของผูหญิงที่รักเพศเดียวกันแตอยางใด
                                     แตถึงแมวาในสมัยกอนพฤติกรรม “เลนเพื่อน” จะถือเปนพฤติกรรม
                               ตองหามสําหรับผูหญิงชนชั้นสูงในราชสํานัก และมีบทลงโทษเฉพาะอยูใน

                               กฎหมาย แตก็ไมปรากฏวามีนางสนมกํานัลคนใดถูกลงโทษดวยการมีพฤติกรรมนี้
                               อาจเปนไดวาสังคมไทยไมไดมองวาพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธระหวาง
                               เพศเดียวกันของผูหญิงจะเปนเรื่องรายแรงจนถึงกับตองลงโทษอยางจริงจัง
                               และถาหากจะพูดถึงเรื่องตัวตนทางเพศ ที่ผานมาในภาษาไทยก็มีเพียงคําๆ
                               เดียวคือ คําวา “กะเทย” สําหรับเรียกเหมารวมทั้งตัวตนทางเพศภาวะ และเพศวิถี

                               ทุกแบบ ไมวาจะในกรณีของ “ผูชายที่ตองการเปนผูหญิง และผูหญิงที่ตองการ
                               จะเปนผูชาย” “ผูมีอวัยวะเพศไมสมบูรณ” รวมถึง “ผูหญิงและผูชายที่ไมได
                               ตองการจะเปลี่ยนตนเองเปนเพศตรงขามแตมีความรักและมีเพศสัมพันธกับ
                               เพศเดียวกัน” ทั้งหมดนี้สะทอนวาการมีพฤติกรรมทางเพศระหวางคนเพศเดียวกัน

                               ของทั้งผูหญิงและผูชายเปนสิ่งที่มีมานานแลวเพียงแตไมไดรับการตระหนักถึง
                               หรือยอมรับจากสังคมสวนใหญ ยิ่งในกรณีของผูหญิงยิ่งถูกมองวาเปนพฤติกรรม
                               เลนๆ ไมจริงจัง หรือเปนการทําตามกระแสแฟชั่น สามารถเปลี่ยนแปลงได ถาไดมี
                               ความสัมพันธกับผูชายมากขึ้น





                                                        สุไลพร  ชลวิไล
   179   180   181   182   183   184   185   186   187   188   189