Page 44 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2561
P. 44
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๖๑
ในการพัฒนาที่ได้รับการรับรองจากสมัชชาสหประชาชาติ เป็นไปเพื่อเหตุผลที่ชอบธรรม รัฐไม่สามารถหาวิธีการอื่น
เม่ื่อปี ๒๕๒๙ และได้รับการยืนยันโดยที่ประชุมระดับโลก มาทดแทนได้ และการใช้อย่างจ�ากัดและเท่าที่จ�าเป็น
ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในปฏิญญาเวียนนาและแผนปฏิบัติการ ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นมาตรการ
เมื่อปี ๒๕๓๖ จ�าเป็นในสังคมประชาธิปไตย เป็นต้น ซึ่งเป็นแนวทาง
ที่สอดคล้องกับข้อ ๒๙ ของหลักการของปฏิญญาสากล
๓) หลักการจ�ากัดสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งปรากฏในข้อ ๒๙ ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่กล่าวถึงข้างต้น บทน�
ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สามารถกระท�าได้
โดยต้องก�าหนดเป็นกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ ๒) สิทธิบางประเภทที่รัฐจะสามารถท�าให้ก้าวหน้าหรือ
ในการเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อ่ื่น และเพื่อเหตุ เป็นจริงได้ โดยต้องด�าเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใต้
ความจ�าเป็นที่ชอบธรรมในการรักษาศีลธรรมอันดีและความสงบ ทรัพยากรที่มีอยู่ (progressive realization of rights)
เรียบร้อยอันพึงมีส�าหรับสังคมประชาธิปไตย ซึ่งรัฐจ�าเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและมีแนวทาง
การด�าเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ มีการก�าหนด
๒.๓.๒ ลักษณะของสิทธิ และการด�เนินมาตรการ ให้บรรลุเป้าหมายอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน เช่น มีแผน
และการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นจริง การปฏิบัติงาน ระยะเวลา ก�าลังบุคลากร ผู้รับผิดชอบ
จ�แนกเป็น และการติดตามผลการปฏิบัติอย่างแท้จริง มีการจัดสรร
๑) สิทธิแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (non-derogable rights) ทรัพยากรอย่างเพียงพอ/เหมาะสม (maximum available
ซึ่งมิอาจเพิกถอนหรือลิดรอนได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด resources) และในการด�าเนินการตามแผนงานดังกล่าว
ก็ตาม เช่น สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน และ ต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความแตกต่าง
ในกรณีที่เป็นสิทธิที่รัฐอาจจ�ากัด หรือเพิกถอนได้ชั่วคราว ที่ต้องห้ามตามหลักการสิทธิมนุษยชน
(derogable rights) ในบางสถานการณ์ที่กฎหมาย
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศยินยอมให้รัฐกระท�าได้ ๒.๓.๓ ความผูกพันทางกฎหมาย และหน้าที่ของภาค
เพื่อวัตถุประสงค์บางประการ ได้แก่ ความมั่นคงของชาติ ส่วนต่าง ๆ ที่เก่ี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน จ�แนกเป็น
ความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข หรือเพ่ื่อศีลธรรม ซึ่งเป็น รัฐ ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ (duty-bearer) ในการส่งเสริม
หลักการที่ปรากฏในข้อ ๔ ของกติกา ICCPR ทั้งนี้ รัฐต้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่อยู่ในเขตอ�านาจรัฐ
ด�าเนินการตามแนวทางที่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย (jurisdiction) มีหน้าที่ใน ๓ ด้าน คือ
ระหว่างประเทศ เช่น มีการบัญญัติไว้เป็นกฎหมายที่ชัดเจน
หน้าที่ในการเคารพ รัฐต้องไม่แทรกแซงการใช้สิทธิของประชาชน และไม่กระท�าการ หรือละเว้นการกระท�าใด ๆ
(Obligation to respect) ที่เป็นการกระท�าละเมิดสิทธิมนุษยชน
หน้าที่ในการคุ้มครอง รัฐต้องคุ้มครองมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูกละเมิดสิทธิจากบุคคลอื่น หรือกลุ่มอื่นใด เช่น
(Obligation to protect) ภาคเอกชน โดยรัฐต้องมีมาตรการดูแลไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิ แต่หากเกิดการละเมิด
รัฐต้องเข้ามาดูแลให้การคุ้มครอง
หน้าที่ในการท�าให้สิทธิ รัฐต้องมีมาตรการในการท�าให้สิทธิที่ได้รับการรับรองเกิดผลจริง เช่น การก�าหนดกรอบ
เกิดผลในทางปฏิบัติในการจัดท�า กฎหมาย นโยบาย และการด�าเนินการต่าง ๆ ที่ท�าให้ประชาชนได้รับรู้ถึงสิทธิดังกล่าว
อ�านวยการให้เกิดขึ้นจริง การประกันให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้สิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองในกฎหมาย
(Obligation to fulfill) ภายในและตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
43