Page 599 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 599
575
ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ในบริบทของคดีปกครอง (มาตรา 9 ของ
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542) นั้น มีขอบเขตและลักษณะที่
แตกต่างจาก “การเลือกปฏิบัติ” ในบริบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชน กล่าวคือ “การเลือกปฏิบัติที่ไม่
เป็นธรรม” ตามกฎหมายปกครองนั้น เป็นการพิจารณา “การปฏิบัติที่แตกต่างกัน” ในกรอบของการ
ตรวจสอบการใช้อ านาจรัฐโดยมิชอบ และมักมีข้อเท็จจริงที่สัมพันธ์กับ “การใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง
โดยมิชอบ” จึงอาจครอบคลุมถึงการปฏิบัติแตกต่างกันโดยไม่เป็นธรรม การใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ซึ่ง
ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติ เช่น เชื้อชาติ เพศ ศาสนา ฯลฯ ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน
หรืออาจเรียกว่าเป็นการเลือกปฏิบัติในความหมายที่กว้างกว่ากฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่บนพื้นฐาน
แนวคิดและหลักการของกฎหมายปกครองอันควรมีการศึกษาและพิจารณาแยกอีกส่วนหนึ่งต่างหากจาก
การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) ในบริบทของกฎหมายสิทธิมนุษยชน
จากการสรุปความหมายและขอบเขตของการเลือกปฏิบัติ ในหัวข้อ 5.1.1.1 -5.1.1.3 จะท าให้
สามารถจ าแนกความแตกต่างของ “การเลือกปฏิบัติ” ในบริบทต่างๆ ดังนี้
(1) กรณีที่อยู่ในขอบเขตของการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนและได้รับการคุ้มครอง
ตามกฎหมายทั้งในส่วนของรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(2) กรณีที่ไม่อยู่ในขอบเขตของการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน แต่อาจอยู่ภายใต้การ
คุ้มครองของกฎหมายอื่นในความหมายของ “การเลือกปฏิบัติ” ตามกฎหมายนั้น เช่น “การเลือกปฏิบัติที่
ไม่เป็นธรรม” ตามกฎหมายปกครอง
(3) กรณีที่เป็นการกล่าวอ้างว่าเกิดการเลือกปฏิบัติในความหมายกว้างซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของการ
เลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนและไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายปกครองด้วย เช่น การอ้างว่ามี
การปฏิบัติที่แตกต่างกันหรืออ้างว่ามีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกัน
(4) กรณีที่มีความทับซ้อนระหว่างการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนกับการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนอื่นๆ
จากการจ าแนกดังกล่าว ท าให้สามารถแยกกรณีที่ (2) และ (3) ออกไปจากขอบเขตการคุ้มครอง
ในฐานะ “การเลือกปฏิบัติ” ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน เนื่องจากไม่อยู่ในขอบเขตความหมายและ
องค์ประกอบของการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งหากจะมีประเด็นว่าควรมีการปรับปรุง
พัฒนากฎเกณฑ์อย่างไรเพื่อคุ้มครองกรณีเหล่านั้นก็จะต้องท าการศึกษาในกรอบกฎหมายอื่นต่อไป ส าหรับ
กรณีที่ (4) แม้ว่าอาจไม่อยู่ในขอบเขตของการเลือกปฏิบัติแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตอ านาจของคณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เนื่องจากเป็นกรณีเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอื่น
ส าหรับกรณีที่ (1) นั้นอยู่ในขอบเขตของการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนแต่มีกฎหมาย
ครอบคลุมแล้ว อย่างไรก็ตามกรณีที่งานวิจัยนี้มุ่งประสงค์จะชี้ให้เห็นถึงปัญหาการครอบคลุมของกฎหมาย

