Page 559 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 559

535


                   ผู๎หญิง เชํน จากกรณีขําว “ผู๎หญิงโดยกําเนิดอายุ 40 ปี ใช๎ชีวิตอยํางผู๎ชาย รับสารภาพตํอศาลฐาน
                   ประทุษร๎ายทางเพศตํอผู๎เยาว์โดยใช๎เซ็กส์ทอยและนิ้วของตน ศาลยกฟูองจําเลยโดยระบุวํามาตราใน

                   กฎหมายอาญาที่ถูกฟูองนั้นใช๎กับผู๎ชายซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีองคชาติ ไมํอาจตีความไปถึงผู๎หญิงได๎ ดังนั้น
                                                              576
                   จําเลยจึงถูกพิพากษาลงโทษฐานอื่นที่มีโทษเบากวํา”

                           หากเปรียบเทียบกฎหมายสิงค์โปร์กับกฎหมายอินเดีย ซึ่งมีกฎหมายกําหนดโทษสําหรับชายที่มีการ
                   กระทําทางเพศกับชาย (Sodomy  Law)  เชํนเดียวกับสิงค์โปร์ โดยกฎหมายเหลํานี้มีที่มาตั้งแตํสมัยอาณา
                   นิคมของอังกฤษ อยํางไรก็ตาม พบวําศาลอินเดียพิจารณาแล๎วเห็นวําหลักกฎหมายดังกลําวขัดตํอหลักความ
                   เทําเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ


                                            577
                           ในคดี Anuj  Garg  ศาลอธิบายวํา กฎหมายมีลักษณะเลือกปฏิบัติด๎วยเหตุที่ระบุห๎ามตาม
                   รัฐธรรมนูญ จึงต๎องได๎รับการพิจารณาไมํเพียงแตํเฉพาะความสมเหตุสมผล (Reasonableness)  ตาม

                   รัฐธรรมนูญมาตรา 14 เทํานั้น แตํยังต๎องพิจารณาอยํางละเอียดรอบคอบ (Strict Scrutiny) ดังนั้น ศาลเห็น
                   วํา บทบัญญัติที่กําหนดโทษอาญาสําหรับการกระทําทางเพศที่กระทําโดยชายตํอชายด๎วยกันนั้น สํงผล
                   กระทบอยํางไมํได๎สัดสํวนตํอบุคคลเนื่องจากเหตุแหํงรสนิยมทางเพศ จึงขัดตํอคุณคําและศักดิ์ศรีของความ
                   เป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติของกฎหมายที่กําหนดความผิดสําหรับบุคคลบนพื้นฐานของศีลธรรม

                   ในมุมมองของรัฐนั้น เป็นการฝุาฝืนตํอหลักความเทําเทียมกันตามรัฐธรรมนูญอินเดีย

                                                578
                           ในคดี Naz Foundation  ศาลอินเดียตัดสินวํากฎหมายลักษณะนี้ขัดตํอหลักความเทําเทียมกัน
                   ตามรัฐธรรมนูญ “การกําหนดโทษอาญาสําหรับการกระทําทางเพศระหวํางชายกับชาย แม๎โดยภายนอก
                   แล๎วมีลักษณะเป็นกลาง โดยมิได๎มุํงเปูาที่อัตลักษณ์ของบุคคลแตํมุํงที่พฤติกรรม จึงไมํเป็นการมุํงเปูาหมายที่
                   ไมํเป็นธรรมตํอกลุํมใดกลุํมหนึ่ง อยํางไรก็ตามพฤติกรรมทางเพศที่อยูํในความควบคุมของกฎหมายนี้มีความ
                   เกี่ยวข๎องเฉพาะกับบางกลุํมของสังคม นั่นคือ กลุํมผู๎รักเพศเดียวกัน (Homosexual)  ในฐานะเป็นชน

                   ชั้นหนึ่งในสังคม

                           จะเห็นได๎วํา รัฐธรรมนูญของสิงค์โปร์กับอินเดียวางหลักคุ๎มครองความเทําเทียมกันและกําหนดห๎าม

                   การเลือกปฏิบัติเชํนเดียวกัน แตํการตีความของศาลทั้งสองประเทศมีแนวทางแตกตํางกัน โดยศาลอินเดียให๎
                   น้ําหนักกับการคุ๎มครองความเทําเทียมกันในรสนิยมทางเพศมากกวําสิงค์โปร์ หากเปรียบเทียบกับกฎหมาย
                   ไทยจะเห็นได๎วํา กฎหมายอาญาเกี่ยวกับความผิดทางเพศของไทยเดิมมีขอบเขตจํากัดเฉพาะการขํมขืนที่






                   576
                      ศาลลอดชํองพิพากษายกฟูองทอมขํมขืนเด็กสาวเหตุไมํใชํชาย http://www.dailynews.co.th/foreign/391638 14
                   เมษายน 2559
                   577  Anuj Garg & Ors v. Hotel Association of India & Ors [2007] INSC 1226: AIR 2008 SC 663 (Supreme
                   Court of India)
                   578  Naz Foundation v. Government of NCT of Delhi, WP(C) No.7455/2001, 2 July 2009 (High Court of
                   Delhi)
   554   555   556   557   558   559   560   561   562   563   564