Page 63 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2560
P. 63
โดยเป็นข้อเสนอที่ประเทศไทยรับที่จะปฏิบัติหรือด�าเนินการให้เกิดขึ้นจ�านวน ๑๘๗ ข้อ แบ่งเป็นข้อเสนอแนะที่ประเทศไทย
ตอบรับโดยทันทีในกระบวนการ UPR จ�านวน ๑๘๑ ข้อ และข้อเสนอที่ประเทศไทยน�ากลับมาพิจารณาและตอบรับจ�านวน
๖ ข้อ (จากจ�านวนที่น�ากลับมาพิจารณาทั้งหมด ๖๘ ข้อ)
๑๔
ค. หลักการส�าคัญ ลักษณะการด�าเนินการ และความผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนของ
ประเทศไทย
๑. หลักการส�าคัญเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย
๑.๑ ความเสมอภาค (equality) คือ การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยทุกคนเกิดมาอย่างอิสระ และมีความ
เสมอภาคในเรื่องศักดิ์ศรีและสิทธิ และการไม่เลือกปฏิบัติ (non-discrimination) ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสมอภาค โดยเป็น
หลักประกันในการเข้าถึง การมีอยู่ และการดูแลให้เกิดภาวะสิทธิของบุคคล ที่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยส�าคัญ และ
ส่งผลกระทบต่อสารัตถะของสิทธินั้น ๆ ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุแห่งอัตลักษณ์ทางเพศ เชื้อชาติ สัญชาติ ชาติพันธุ์ พื้นฐาน
ทางสังคม ภาษา การนับถือศาสนา การเมืองและความคิดเห็นทางการเมือง สถานะทางเศรษฐกิจ และอื่น ๆ
๑.๒ ความเป็นสากล (universality) คือ ความสามารถในการประยุกต์ใช้กับบุคคลทุกคน โดยไม่มีข้อจ�ากัดใด ๆ
บุคคลทุกคนสามารถใช้สิทธิของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีเงื่อนไข หรือข้อจ�ากัดใด ๆ
๑.๓ การคงอยู่ของสิทธิแบบติดตัวไม่สามารถถ่ายโอนได้ (inalienability) และไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้
(indivisibility) รวมถึงความเกื้อกูล (interdependency) และเชื่อมโยงเกี่ยวพันกัน (interrelated) ของสิทธิต่าง ๆ
กล่าวคือ คุณลักษณะของสิทธิในด้านต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่สามารถแบ่งแยก
ออกจากกันได้ และมักจะมีผลกระทบต่อกันในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิในด้านหนึ่งด้านใด
๒. ลักษณะของสิทธิ และการด�าเนินมาตรการและการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นจริง จ�าแนกเป็น
๒.๑ สิทธิแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (non-derogable rights) ซึ่งมิอาจเพิกถอนหรือลิดรอนได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์
ใดก็ตาม เช่น สิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ สิทธิที่จะไม่ถูกทรมาน และในกรณีที่เป็นสิทธิที่รัฐอาจจ�ากัดหรือเพิกถอนได้ชั่วคราว
(derogable rights) ในบางสถานการณ์ที่กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศยินยอมให้รัฐกระท�าได้เพื่อวัตถุประสงค์
บางประการ ได้แก่ ความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อย การสาธารณสุข หรือเพื่อศีลธรรม โดยรัฐต้องด�าเนินการ
ตามแนวทางที่เป็นที่ยอมรับตามกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น มีการบัญญัติไว้เป็นกฎหมายที่ชัดเจน เป็นไปเพื่อเหตุผลที่
ชอบธรรม รัฐไม่สามารถหาวิธีการอื่นมาทดแทนได้ และการใช้อย่างจ�ากัดและเท่าที่จ�าเป็นได้สัดส่วนที่เหมาะสม
กับสถานการณ์ และเป็นมาตรการจ�าเป็นในสังคมประชาธิปไตย เป็นต้น
๒.๒ สิทธิบางประเภทที่รัฐจะสามารถท�าให้ก้าวหน้าหรือเป็นจริงได้ โดยด�าเนินการให้เกิดขึ้น มีความพร้อม
ความเพียงพอ และ/หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่ (progressive realization of
rights) ซึ่งรัฐจ�าเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและมีแนวทางการด�าเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม กล่าวคือ มีการก�าหนดให้บรรลุ
เป้าหมายที่ชัดเจน (progressive achievement) เช่น มีแผนการปฏิบัติงาน ระยะเวลา ก�าลังบุคลากร ผู้รับผิดชอบ และ
การติดตามผลการปฏิบัติอย่างแท้จริง มีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเพียงพอ/เหมาะสม (maximum available resources)
และไม่เลือกปฏิบัติ (non-discrimination) โดยเหตุใด ๆ ก็ตาม
๒.๓ การด�าเนินมาตรการและการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนให้เป็นจริง จะต้องหลีกเลี่ยงการกระท�าที่ท�าให้
เกิดการเลือกปฏิบัติแบบซ�้าซ้อน (multiple discrimination) และค�านึงถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างหลากหลาย ทับซ้อน และ
เชื่อมโยงกัน (intersectionality) ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจาก (๑) ลักษณะทางชีวภาพหรือการถือก�าเนิด อาทิ เพศก�าเนิด (sex)
ชาติพันธุ์ (ethnicity) เชื้อชาติ (race) สีผิว (color) อายุ (age) และความพิการ (disabilities) และ (๒) ลักษณะการรับรู้
๑๔ The Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights. (2016). Universal Periodic Review-Thailand. Retrieved from www.ohchr.org/EN/HRBodies/
UPR/Pages/THIndex.aspx
62 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๖๐