Page 239 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 239
๒๒๒
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลไทยจะมิได้มอบหมายให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เป็นผู้แทนของรัฐบาลไทยในการด าเนินการเช่นนั้น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็สามารถด าเนินการ
ดังกล่าวได้ด้วยตนเอง เนื่องจากธรรมนูญกรุงโรมฯ มิได้ก าหนดให้เฉพาะรัฐบาลแห่งรัฐเท่านั้นที่จะสามารถ
ด าเนินการดังกล่าวได้ เนื่องจากกรณีนี้เป็นกรณีอัยการเริ่มการสืบสวนสอบสวนคดีด้วยตนเอง มิใช่ผ่านรัฐภาคี
ตามกรณีปกติแต่อย่างใด ดังนั้น องค์กรใดๆ ก็ย่อมสามารถประสานและเสนอเรื่องไปยังอัยการได้ หากแต่ใน
การเสนอเรื่องไปยังอัยการนั้น คณะกรรมการฯ จะต้องเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการณ์และข้อเท็จจริงที่
ครบถ้วนและมีน้ าหนัก และแสดงให้เห็นถึงการกระท าความผิดอาญาร้ายแรงระหว่างประเทศได้อย่างชัดเจน
เพื่อให้อัยการเห็นคล้อยตามว่าเรื่องดังกล่าวมีมูลและมีน้ าหนักเพียงพอ ตลอดจนมีลักษณะเป็นภัยคุกคามต่อ
ความสงบสุขและสันติภาพของประชาคมโลก เพื่อที่อัยการจะริเริ่มการสืบสวนสอบสวนคดีด้วยตนเอง
เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการณ์และข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและ
มีน้ าหนักดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังควรเน้นย้ าที่ “พันธกรณี” “ในทาง
ปฏิบัติ” หรือในทางข้อเท็จจริง (de facto) ที่ประเทศไทยจะต้องไม่กระท าการใดๆ อันจะก่อให้เกิดผลกระทบ
หรือเป็นอุปสรรคต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของสนธิสัญญา อันเป็นพันธกรณีที่เกิดขึ้นตามหลักกฎหมาย
๔๕๗
จารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งมีที่มาจากหลักสุจริต (Bona Fide) การลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ
จึงแสดงถึงเจตจ านงในระดับหนึ่งของประเทศไทยในลักษณะที่เห็นด้วยหรือเห็นชอบกับวัตถุประสงค์และ
สารัตถะของธรรมนูญกรุงโรมฯ รัฐบาลไทยจึงต้องถูกพันตาม “หลักสุจริต” ที่จะต้องไม่กระท าการใดๆ หรือ
ยอมให้มีการกระท าใดๆ อันเป็นการขัดหรือกระทบต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ ที่ได้ลงนามไว้ แม้ประเทศไทยจะยัง
มิได้เป็นภาคีในธรรมนูญกรุงโรมฯ ก็ตาม
ผลลัพธ์
ประกำรที่หนึ่ง เพื่อให้เรื่องดังกล่าวได้เปิดเผยต่อและเป็นที่รับรู้ของประชาคมโลกและในเวที
ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับผลกระทบอันรุนแรงและใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นแก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างของ
ประเทศไทยอันเนื่องจากการก าหนดและการด าเนินนโยบายในการท าสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดของ
รัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งมีลักษณะเป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรงระหว่าง
ประเทศ และแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็น “บุคคลที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ”
ประกำรที่สอง เพื่อให้การก่ออาชญากรรมร้ายแรงอันเป็นภัยคุกคามต่อความผาสุกและ
สันติภาพของประชาชนและประชาคมโลก ดังเช่นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นจากการก าหนด
และการด าเนินนโยบายในการท าสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้เสนอขึ้นไปสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ และอาจได้รับการพิจารณาและวินิจฉัยโดยศาล
อาญาระหว่างประเทศ ในฐานะ “ศาลเสริม” ตาม “หลักการเสริมเขตอ านาจศาลภายในของรัฐ” (Principle
๔๕๘
of complementarity) เนื่องจากศาลไทยไม่มีอ านาจพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวได้ ทั้งนี้ เพื่อไม่ปล่อย
ให้ผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อประชาคมโลกลอยนวล เพียงเพราะเหตุว่าไม่มีศาลหรือองค์กรตุลาการ
๔๕๗
โปรดดู ประสิทธิ์ เอกบุตร, อ้างแล้ว, น. ๑๓๐.
๔๕๘
PREAMBLE of Rome Statute, “…Emphasizing that the International Criminal Court established
under this Statute shall be complementary to national criminal jurisdictions,…” and Rome Statute,
Article 17 Issues of admissibility, paragraph 1 (2).