Page 100 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 100
๘๓
ในการท าสัญญาในความเป็นจริงเกิดความไม่เสมอภาคระหว่างคู่สัญญาโดยแสดงออกในรูปของการไม่มีการ
เจรจาต่อรองกัน คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในทางเศรษฐกิจ ถูกจ ากัดในทาง
ความเป็นจริงว่าต้องเข้าร่วมท าสัญญากับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยต้องยอมรับตามข้อสัญญาที่ผู้ประกอบธุรกิจ
การค้าหรือวิชาชีพได้ก าหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น สัญญากู้ยืม สัญญาเช่าซื้อ กรมธรรม์ประกันภัย หรือ
สัญญาจ้าง เป็นต้น สัญญาเหล่านี้จะถูกร่างเนื้อหาข้อสัญญาไว้ก่อนแล้วโดยผู้ประกอบธุรกิจและฝ่ายที่จะ
เข้าท าสัญญาด้วยไม่มีสิทธิจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาดังกล่าว แต่จะท าได้เพียงแต่จะยอมรับหรือ
ปฏิเสธการท าสัญญาเท่านั้นการเจรจาต่อรองกันในสัญญาจะไม่มีในสัญญาเหล่านี้ และหลักที่ว่าสัญญาเกิด
จากเจตนาร่วมกันโดยเสรีของคู่สัญญาก็จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ความเป็นธรรมในสังคม
ก็ไม่มีเพราะในเมื่อข้อสัญญาได้ถูกก าหนดอย่างไม่เป็นธรรมไว้ล่วงหน้าจากผู้ประกอบธุรกิจแต่ฝ่ายเดียวและ
อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในภาวะจ ายอมต้องท าสัญญาด้วย สัญญาเหล่านี้จึงเสมือนเกิดจากเจตนาของ
ผู้ประกอบธุรกิจฝ่ายเดียว หลักเจตนาและหลักเสรีภาพในการท าสัญญาจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสัญญา
๑๒๗
ที่ไม่มีความเท่าเทียมกันในการท าสัญญาจริงๆ โดยเฉพาะในสัญญาจ้างแรงงานซึ่งคู่สัญญา
ไม่ได้มีความเสมอภาคหรือมีเสรีภาพในการท าสัญญาอย่างแท้จริง ในสัญญาจ้างแรงงานนายจ้าง
เป็นผู้ที่อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าลูกจ้างเพราะเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตในขณะที่ลูกจ้าง
มีแต่เพียงแรงงานที่จะขายให้แก่นายจ้างเท่านั้น ความจ าเป็นทางเศรษฐกิจท าให้ลูกจ้างไม่อาจเป็น
ผู้ตั้งเงื่อนไขต่อรองกับนายจ้างได้ เพราะมีแรงงานในตลาดที่พร้อมจะท าตามเงื่อนไขหรือความพอใจของ
นายจ้างอยู่มากมาย จึงเห็นได้ว่าลูกจ้างถูกความจ าเป็นทางเศรษฐกิจบีบบังคับไม่ให้มีเสรีภาพ
ในการที่จะต่อรองกับนายจ้างได้อย่างเต็มที่ เสรีภาพความเสมอภาคในการท าสัญญาจ้างแรงงาน ในทาง
๑๒๘
ความเป็นจริงจึงเป็นไปไม่ได้ และนายจ้างมักจะขูดรีดเอาประโยชน์จากแรงงานลูกจ้าง เช่น ก าหนดให้
ลูกจ้างท างานล่วงเวลาโดยไม่จ่ายค่าล่วงเวลา จ่ายค่าแรงให้แก่ลูกจ้างในราคาที่ถูกและไม่ให้สวัสดิการหรือ
จัดหามาตรการในการรักษาความปลอดภัยในการท างานให้แก่ลูกจ้างและกดขี่ขูดรีดผู้ใช้แรงงานใน
ลักษณะต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ แม้กระทั่งระหว่างคนในครอบครัวด้วยกันก็ไม่มีความเสมอภาค
เท่าเทียมกันในความเป็นจริง กล่าวคือ เนื่องจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัวจะมีผู้ที่เป็นหัวหน้า
ครอบครัว ซึ่งมีหน้าที่ในการปกครองเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวและมีอ านาจเหนือสมาชิกทุกคน
ในครอบครัว ส่วนสมาชิกในครอบครัวก็มีหน้าที่ต้องเชื่อฟังค าสั่งและอยู่ใต้อ านาจของหัวหน้าครอบครัว
เพราะต้องพึ่งพาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวส าหรับปัจจัยต่างๆ ที่จ าเป็นในการด ารงชีวิต ในบางกรณีผู้เป็น
หัวหน้าครอบครัวอาจใช้อ านาจเหนือที่ตนมีกระท าการที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนในครอบครัว
เช่น การใช้ความรุนแรงกับคนในครอบครัวด้วยวิธีการต่างๆ หรือการละเมิดสิทธิเด็ก และคนในครอบครัว
ที่ถูกใช้ความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิดังกล่าว ก็ต้องจ ายอมเพราะยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้ที่เป็นหัวหน้า
ครอบครัวอยู่
ความไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมดังกล่าว
ก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่คนส่วนใหญ่ของสังคมเป็นอย่างมากและถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
รัฐจึงมีหน้าที่ต้องเข้าไปปกป้องคุ้มครองคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่าหรือด้อยกว่าในสังคมดังกล่าวเพื่อให้เกิด
๑๒๗
พอพันธุ์ คิดจิตต์, “แนวความคิดและผลกระทบเกี่ยวกับข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”, ดุลพาห, ปีที่ ๔๐,
เล่มที่ ๖, พฤศจิกายน - ธันวาคม ๒๕๓๖, น. ๔๐ - ๔๑.
๑๒๘ มาลี พฤกษ์พงศาวลี, “สิทธิทางด้านแรงงาน : ปัจจัยพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน,” น. ๖ - ๗.