Page 82 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 82

ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
                                                                    เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน





                  ๓.๑.๒ ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (European Court of Human Rights)

                         ทวีปยุโรปมีศาลที่มีลักษณะเหนือรัฐ (Supra-National) ซึ่งค�าพิพากษาของศาลจะอยู่เหนือกฎหมาย
            ภายในของรัฐ เมื่อศาลมีค�าพิพากษาแล้ว หากค�าพิพากษาแตกต่างจากกฎหมายภายในของรัฐคู่กรณี รัฐคู่กรณีจ�าเป็นต้อง

            เปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายของตนให้สอดคล้องกับค�าพิพากษาของศาล มีทั้งหมด ๒ ศาลด้วยกัน ได้แก่ ๑) ศาลยุติธรรม
            แห่งยุโรป (European Court of Justice) ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป (Court of Justice of
            the European Union: CJEU) ซึ่งจะรับวินิจฉัยคดีตามสนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพยุโรปและต้องเป็นคดีที่พิพาทกันภายใน

            รัฐภาคีสหภาพยุโรปเท่านั้น โดยศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปจะไม่รับวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน เว้นแต่
            คดีที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานที่ก�าหนดไว้ในสนธิสัญญาจัดตั้งสหภาพยุโรป ศาลย่อมมีอ�านาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ และ

            ๒) ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (European Court of Human Rights) ซึ่งเป็นศาลที่รับวินิจฉัยคดีสิทธิมนุษยชนในยุโรป
            เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ในการศึกษาคดีต่าง ๆ จึงต้องศึกษาศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปเป็นหลัก
                         ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๕๙ ตามมาตรา ๑๙ แห่งอนุสัญญา

            สิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป ปัจจุบันมีเขตอ�านาจครอบคลุม ๔๗ ประเทศสมาชิกในทวีปยุโรป (ครอบคลุมทั้งประเทศสมาชิก
            สหภาพยุโรป ๒๘ ประเทศ และประเทศในทวีปยุโรปอีก ๑๙ ประเทศ) การคัดเลือกผู้พิพากษาตามพิธีสาร ฉบับที่ ๑๔

            ค.ศ. ๒๐๑๐ ซึ่งเป็นฉบับแก้ไขล่าสุดที่ใช้บังคับอยู่ ณ ปัจจุบัน ก�าหนดให้ผู้พิพากษาจะต้องได้รับการคัดเลือกจากคะแนน
            โหวตของที่ประชุมสมัชชารัฐสภาแห่งคณะมนตรียุโรป (Parliamentary Assembly of the Council of Europe) โดย
            ผู้พิพากษาจะได้รับการเสนอชื่อจากรัฐสมาชิกละ ๓ คน เมื่อโหวตแล้วจะเหลือเพียง ๑ คนของแต่ละรัฐ ผู้พิพากษาแต่ละคน

            อยู่ในต�าแหน่งวาระ ๙ ปีเท่านั้น ไม่สามารถต่ออายุได้ (แต่เดิมวาระจะมีก�าหนด ๖ ปี แต่ผู้พิพากษาสามารถกลับเข้ามาเป็น
            ผู้พิพากษาได้อีกวาระหนึ่ง) ในการพิจารณาพิพากษาคดีความจะใช้ผู้พิพากษา ๓ คน หากความเห็นไม่สอดคล้องกันให้ใช้
            คะแนนเสียง ๒ ใน ๓ ในการตัดสินคดีความ หากมีประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันระหว่างองค์คณะ หรือเป็นประเด็นที่มีปัญหา

            ร้ายแรง ผู้พิพากษาคนหนึ่งอาจน�าประเด็นดังกล่าวไปเข้าสู่ที่ประชุมเล็ก (Chambers) ที่มีผู้พิพากษาจ�านวน ๗ คน หรือที่
            ประชุมใหญ่ (Grand Chamber) ที่มีผู้พิพากษาจ�านวน ๑๗ คนเพื่อหาข้อยุติตามแต่กรณี
                         เขตอ�านาจของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปในการรับคดีขึ้นวินิจฉัยจะต้องเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน

            เท่านั้น  หากมีประเด็นที่เกี่ยวโยงกับศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป  ศาลอาจขอความเห็นหรือร่วมมือกันในประเด็นที่
            เกี่ยวโยงกันก็ได้  ในการฟ้องคดีนั้นผู้ฟ้องคดีอาจเป็นรัฐเมื่อเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับรัฐ  (Inter-State)  หรืออาจเป็น

            ปัจเจกบุคคลกับรัฐก็ได้  นอกจากนี้  ศาลยังมีหน้าที่ตอบความเห็นข้อหารือ  (Advisory  Opinion)  แก่คณะมนตรียุโรปใน
            ปัญหาเกี่ยวกับการตีความอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานก็ได้ ค�าพิพากษา
            ของศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปมีผลผูกพันทั้งคู่ความและเป็นหลักการให้แก่ประเทศสมาชิกที่จะต้องให้ความคุ้มครอง

            สิทธิมนุษยชนแก่ทุกคนในรัฐสมาชิกให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
                         กฎหมายที่ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีความนั้น  ศาลจะใช้อนุสัญญาแห่งยุโรป
                                                                                                              73
            ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ค.ศ. ๑๙๕๐ และพิธีสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลักในการวินิจฉัย
            จึงถือเป็นข้อจ�ากัดของศาลที่ไม่อาจน�าตราสารระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ มาปรับแก่คดีได้ ดังนั้น การที่
            ศาลมิได้วินิจฉัยถึงสิทธิมนุษยชนนอกกรอบของอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพ

            ขั้นพื้นฐาน ค.ศ. ๑๙๕๐ จึงเป็นเรื่องที่พบเห็นได้เป็นปกติ



                    73   มาตรา ๓๒ แห่งอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ค.ศ. ๑๙๕๐



                                                           81
   77   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87