Page 152 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 152
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีมติเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง หลักเกณฑ์ในการประเมินอาคาร/ที่พัก
อาศัยของผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมิได้ก�าหนดให้เงินค่าชดเชยผลกระทบทางเสียง
จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมค�านวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ จึงมิใช่
การกระท�าที่สร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ อันจะถือได้ว่าเป็นการกระท�า
ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๗๔๓/๒๕๕๕: หน่วยงานของรัฐละเลยปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูล�าห้วยคลิตี้
และละเมิดสิทธิในการได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนตามรัฐธรรมนูญ
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองฟ้องว่า บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จ�ากัด ได้ปล่อยทิ้งน�้าขุ่นข้น
และกากแร่ดีบุกจากบ่อกักตะกอนลงสู่ล�าห้วยคลิตี้ ท�าให้ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองได้รับการปนเปื้อนของสารตะกั่วจาก
ล�าห้วยคลิตี้ โดยผู้ถูกฟ้องคดีไม่เข้าด�าเนินการเพื่อขจัดมลพิษและฟื้นฟูล�าห้วยคลิตี้ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม จึงน�าคดีมา
ฟ้องต่อศาล ขอให้ศาลมีค�าพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีเข้าด�าเนินการขจัดมลพิษและฟื้นฟูล�าห้วยคลิตี้ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายจากการที่ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารเดือนละ ๗๐๐ บาท
และค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการถูกละเมิดสิทธิในการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทาง
ชีวภาพ เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท และเรียกค่าเสียหายในอนาคตจนกว่าสภาพนิเวศบริเวณดังกล่าวให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีทราบว่ามีการปนเปื้อนของสารตะกั่วในล�าห้วย
คลิตี้ จึงได้เข้าตรวจสอบเรื่อยมาและได้มีการจัดตั้งคณะท�างานเพื่อแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีจึงมิได้ละเลย
ต่อหน้าที่ในการประสานงานและด�าเนินการฟื้นฟู หรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วในล�าห้วยคลิตี้ แต่ในตะกอน
ดินและท้องน�้ายังคงมีการปนเปื้อนของสารตะกั่วในปริมาณสูง จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟู หรือ
ระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วในล�าห้วยคลิตี้ล่าช้าเกินสมควร และก�าหนดค่าเสียหายให้จากการที่ต้องแบกรับภาระ
ค่าอาหารในอัตราเดือนละ ๓๕๐ บาทต่อเดือนต่อราย และก�าหนดค่าเสียหายต่อสิทธิในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้ใน
อัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ตามค�าขอของผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองเนื่องจากเป็นค่าเสียหายที่เหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว
ส�าหรับค่าเสียหายในอนาคตนั้น เห็นว่า สถานการณ์การปนเปื้อนของสารตะกั่วในน�้าเริ่มที่จะเจือจางลงจึงไม่ก�าหนด
ค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ จึงพิพากษาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ในกรณีที่ไม่ด�าเนินการเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหม
ทดแทนจากบริษัทฯ และปฏิบัติหน้าที่ในการฟื้นฟู หรือระงับการปนเปื้อนของสารตะกั่วล่าช้าเกินสมควร และให้ผู้ถูก
ฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองแต่ละราย เป็นเงิน ๓๓,๗๘๓ บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น ๗๔๓,๒๒๖
บาท ทั้งนี้ ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ค่าธรรมเนียมศาลให้คืนแก่ผู้ฟ้องคดีตามส่วนแห่งการชนะคดี
ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองและผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ค�าพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองสูงสุด
พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีเพียงแต่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเก็บตัวอย่างน�้า ดินตะกอน และสัตว์น�้ามาวิเคราะห์ว่ามี
ปริมาณสารตะกั่วปนเปื้อนหรือไม่เท่านั้น ไม่ได้เข้าไปเพื่อหาวิธีการป้องกันหรือแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจาย
ของสารตะกั่วในล�าห้วยคลิตี้ การที่ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยแต่เพียงว่า ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
151

