Page 150 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 150

ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
                                                                    เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน





               พระราชกฤษฎีกา และให้มีแผนที่แสดงแนวเขตแห่งบริเวณที่ก�าหนดนั้นแนบท้ายพระราชกฤษฎีกา ทั้งนี้ โดยมีความ

               มุ่งหมายเพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมมิให้ถูกท�าลายหรือเปลี่ยนแปลงไป
               รวมทั้งเพื่อคุ้มครองและรักษาประโยชน์สาธารณะ อันเป็นประโยชน์ของประชาชนโดยรวมเป็นส�าคัญ

                            เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๖ จะให้อ�านาจรัฐบาลประกาศ
               พื้นที่ที่มีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ โดยไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลหรือชุมชนมีส่วนร่วม
               ในการด�าเนินการดังกล่าวก็ตาม แต่มิได้หมายความว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะสามารถด�าเนินการได้ ตาม

               อ�าเภอใจโดยไม่ต้องค�านึงถึงสิทธิของบุคคลหรือชุมชนตามรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบทบัญญัติดังกล่าวก็มิได้ห้ามน�า
               กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนมาใช้แต่อย่างใด อีกทั้งกรณีมิได้ตัดสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยงาน
               ราชการหรือหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ส�าหรับ

               ความเดือดร้อนหรือผลกระทบที่ชุมชนอาจได้รับอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของ
               รัฐนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องไปด�าเนินการฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอ�านาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป



                            ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๖ ไม่กระทบต่อ
               สิทธิมนุษยชน และไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ







                   ๕.๒.๓ ค�าพิพากษาของศาลปกครองเกี่ยวกับคดีสิ่งแวดล้อม



                              คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๔๑๕/๒๕๕๐ ศาลปกครองสูงสุด: การเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก
              หน่วยงานรัฐที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมเก็บรักษาและจัดการกากกัมมันตรังสี (โคบอลท์ ๖๐)


                            จ�าเลยกับพวกรวม ๑๒ คน เป็นผู้ฟ้องคดีส�านักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ว่ามีการละเมิดทาง

               ปกครองจากการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และเรียกค่าเสียหาย
                            ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า ส�านักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยการปฏิบัติ
               หน้าที่ในการควบคุมดูแลการเก็บรักษาวัสดุกัมมันตรังสีและการจัดการให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชน

               การที่กัมมันตรังสีแพร่กระจาย เป็นผลโดยตรงจากการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่อันเป็นละเมิดแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๒ ราย
               ศาลก�าหนดค่าเสียหายตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๒ ราย ส�าหรับค่ารักษาพยาบาลใน

               อนาคต ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า ผู้ฟ้องคดีจะมีโครโมโซมเสียหาย หรือมีโอกาสเป็นมะเร็งหรือเจ็บป่วยอย่างอื่น
               แพทย์มีความเห็นสมควรติดตามผลเลือดและโครโมโซมไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี จึงให้สงวนสิทธิที่จะแก้ไขค�า
               พิพากษาในส่วนนี้ไว้อีกภายในระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่มีค�าพิพากษาตามมาตรา ๔๔๔ พิพากษาให้

               ผู้ถูกฟ้องคดีช�าระค่าสินไหมทดแทนให้ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๒ ราย รวม ๕,๒๒๒,๓๐๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ
               เจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เป็นต้นไป จนกว่าจะช�าระเสร็จและให้สงวนสิทธิที่จะแก้ไข
               ค�าพิพากษาในส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคตภายในระยะเวลาไม่เกิน ๒ ปี นับแต่วันที่มีค�าพิพากษา คดีนี้ผู้ฟ้องคดี

               ยื่นค�าร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขค�าพิพากษาในส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ศาลชั้นต้นยกค�าร้อง





                                                           149
   145   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155