Page 9 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 9

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





          ในด้านสินค้าและบริการ การเลือกปฏิบัติในมิติของบริการภาครัฐกรณีการศึกษา กรณีการให้นมบุตรจากอกแม่
          (Breastfeeding) การเลือกปฏิบัติในกรณีการคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) การคุกคาม (Harassment) ใน
          ความหมายที่กว้างกว่าการคุกคามทางเพศ การสื่อสารที่ท�าให้เกิดความเกลียดชัง (Hate Speech) การเลือกปฏิบัติด้าน

          สินค้าและบริการต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุตาบอดสี กรณีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุอัตลักษณ์ทางเพศ
          (Gender  Identity)  กับการเข้าห้องน�้า  การเลือกปฏิบัติในมิติเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร  กรณีการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับ
          สินค้าหรือบริการส�าหรับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เป็นต้น



                  ผลการวิจัย ที่ส�าคัญสรุปได้ดังนี้



                  หลักความเสมอภาคหรือหลักความเท่าเทียมกัน (Equality Principle)


                  จากการวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงสร้างของรัฐธรรมนูญไทยและต่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการวางหลัก
          ความเสมอภาคหรือความเท่าเทียมกัน อาจจ�าแนกรูปแบบและโครงสร้างของรัฐธรรมนูญในการบัญญัติหลักความ

          เท่าเทียมกันได้ ๓ รูปแบบ ดังนี้


                  • รูปแบบแรก  ก�าหนดจ�าแนกหลักความเท่าเทียมกัน  ออกเป็น  ๓  กรณี  คือ  ความเสมอภาคหรือความ

                     เท่าเทียมกันทั่วไป ความเสมอภาคเฉพาะเรื่อง และหลักห้ามเลือกปฏิบัติ เช่น เยอรมัน ไทย ฟินแลนด์
                  • รูปแบบที่สอง ก�าหนดจ�าแนกหลักความเท่าเทียมกัน  ออกเป็น  ๒  กรณี  คือ  ความเสมอภาคหรือความ
                     เท่าเทียมกัน  และหลักการห้ามเลือกปฏิบัติ  โดยมิได้จ�าแนกความเสมอภาคเฉพาะเรื่องออกจากความ

                     เสมอภาคทั่วไป
                  • รูปแบบที่สาม ไม่ระบุถึงหลักความเสมอภาคหรือหลักความเท่าเทียมไว้ โดยมีเพียงก�าหนดหลักการ
                     “ห้ามเลือกปฏิบัติ” เช่น สวีเดน



                  การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม (Unfair / Unjust Discrimination)



                  ตามรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายเฉพาะของไทยหลายฉบับ ได้มีการใช้ค�าว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่
          เป็นธรรม” ซึ่งท�าให้เกิดประเด็นปัญหาว่า การใช้ค�าดังกล่าวสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศเพียงใด และ

          กฎหมายต่างประเทศมีรูปแบบการก�าหนดถ้อยค�าดังกล่าวอย่างไร  จากการศึกษากฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
          และกฎหมายต่างประเทศ  ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า  ในการบัญญัติห้ามการเลือกปฏิบัตินี้  มีรูปแบบการบัญญัติกฎหมาย

          และการใช้ถ้อยค�าที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์และหลักการเช่นเดียวกัน คือ การจ�าแนกระหว่าง “การกระท�าที่
          ต้องห้ามตามกฎหมาย” และ “การกระท�าที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย” ซึ่งอาจจ�าแนกออกเป็นรูปแบบการบัญญัติกฎหมาย
          ๔ ลักษณะ ดังนี้

                  ๑. ก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อันต้องห้ามตามกฎหมายว่า “การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม”
          (Unfair Discrimination) และก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่มีเหตุผลอันสมควรตามที่กฎหมายก�าหนดว่า
          “การเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม” ดังเช่นกรณีกฎหมายแอฟริกาใต้






                                                          8
   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14