Page 10 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ
P. 10

กฎหมายว่าด้วยความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ





                        ๒. ก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อันต้องห้ามตามกฎหมายว่า “การเลือกปฏิบัติที่มิชอบด้วยกฎหมาย”
               (Unlawful Discrimination) และก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่มีเหตุผลอันสมควรตามที่กฎหมายก�าหนด
               ว่า “การเลือกปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย” ดังเช่นกรณีกฎหมายออสเตรเลีย

                        ๓. ก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อันต้องห้ามตามกฎหมายว่า “การกระท�าที่เป็นการเลือกปฏิบัติ”
               (Discriminatory Practice) และก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่มีเหตุผลอันสมควรตามที่กฎหมายก�าหนด
               ว่า “การกระท�าที่ไม่ใช่การกระท�าอันเป็นการเลือกปฏิบัติ” (It is not a discriminatory practice) ดังเช่นกรณี

               กฎหมายแคนาดา
                        ๔. ก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกัน อันต้องห้ามตามกฎหมายว่า “การเลือกปฏิบัติ” (Discrimination)

               และก�าหนดเรียกการปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่มีเหตุผลอันสมควรตามที่กฎหมายก�าหนด หรือไม่เข้าองค์ประกอบ
               เงื่อนไขของการเลือกปฏิบัติที่ต้องห้ามตามกฎหมายว่า “การปฏิบัติที่แตกต่างกัน” (Differentiation หรือ Differential
               Treatment) ดังเช่นแนวค�าวินิจฉัยของศาลสูงสุดสิงคโปร์ หรือกฎหมายประเทศฟินแลนด์ สวีเดน เป็นต้น



                        ส�าหรับกรณีของไทยนั้นอาจเทียบเคียงได้กับรูปแบบที่ ๑ อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยมีข้อสังเกตว่า การใช้ค�า “การ

               เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” ในบริบทของกฎหมายไทยมีลักษณะที่แตกต่างจากการใช้ค�าดังกล่าวในประเทศที่มี
               กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติเป็นกฎหมายเฉพาะในลักษณะของกฎหมายกลางที่ครอบคลุมการเลือกปฏิบัติในมิติ
               ต่าง ๆ เช่น แคนาดา ฟินแลนด์ สวีเดน เป็นต้น นอกจากนี้ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมีการจ�าแนกระหว่าง

               การปฏิบัติที่แตกต่างกัน (Differential Treatment หรือ Distinction) ซึ่งไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย กับ “การเลือก
               ปฏิบัติ” (Discrimination) ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย โดยมิได้ใช้ค�าว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” แต่อย่างใด
               เนื่องจากหากการปฏิบัติแตกต่างกันนั้นไม่อาจอ้างเหตุที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็จะถือว่าเป็นการ “เลือกปฏิบัติ” ซึ่งมี

               นัยที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ในตัวเอง


                        ด้วยเหตุนี้ หากไทยมีการบัญญัติกฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติในลักษณะกฎหมายกลางดังเช่นประเทศต่าง ๆ ที่มี

               กฎหมายลักษณะนี้  ก็ควรจะมีการใช้ถ้อยค�าให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกฎหมาย
               ประเทศต่าง ๆ เพื่อจ�าแนกความแตกต่างระหว่าง

                        (ก) การเลือกปฏิบัติตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนที่มีขอบเขตเฉพาะการปฏิบัติที่แตกต่างกันอันเกี่ยวเนื่องจาก
                             เหตุแห่งการเลือกปฏิบัติต่าง ๆ และ
                        (ข) การเลือกปฏิบัติในบริบทของกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายปกครอง ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าและไม่จ�ากัด

                             เฉพาะการปฏิบัติแตกต่างกันด้วยเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติเท่านั้น



                        ขอบเขตของการเลือกปฏิบัติในกรอบกฎหมายสิทธิมนุษยชน


                        ผลการวิจัยพบว่า การใช้ค�า “เลือกปฏิบัติ” สะท้อนถึงความหมายหลายนัย ในหลายบริบท หากพิจารณา

               ในกรอบของกฎหมายสิทธิมนุษยชน  ซึ่งมีปัจจัยส�าคัญประกอบการพิจารณา  ได้แก่  เหตุแห่งการเลือกปฏิบัติ  และมิติ
               ของการเลือกปฏิบัติ  ประกอบกับปัจจัยอื่น  เช่น  มาตรการยืนยันสิทธิเชิงบวก  หลักการชั่งน�้าหนักกับผลประโยชน์อื่น
               หลักความได้สัดส่วนแล้ว พบว่า ในหลายกรณีที่มีประเด็นว่าเกิด “การเลือกปฏิบัติ” นั้น อาจไม่อยู่ในขอบเขตการ






                                                              9
   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15