Page 62 - รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2558 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
P. 62
จากผลการศึกษาวิจัยฯ มีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติ นอกจากนี้ รัฐควรตั้งส�านักงานการมีส่วนร่วมขึ้นโดยให้เป็นส่วนราชการ
ซึ่งควรพิจารณาและด�าเนินการในทุกบริบทให้เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน มีฐานะเป็นกรม เพื่อดูแลกฎหมายฉบับนี้ และเป็นการส่งเสริม ก�ากับ
กล่าวคือ ต้องให้ประชาชนที่มีส่วนได้เสียกับการก�าหนดแนวเขตที่ดิน และติดตาม ทั้งท�างานวิชาการและปฏิบัติงาน ควรแก้ไขกฎหมาย
ของรัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการก�าหนดแนวเขตในทุกขั้นตอน คือ ร่วม ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนประชาชนหรือชุมชนผู้ได้รับผล
วางแผน ร่วมปฏิบัติ ร่วมในการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผล กระทบมีอ�านาจที่จะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าชดเชยจากกรณี
ร่วมรับผลประโยชน์ พร้อมทั้งร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ควรมีการ ที่ถูกละเมิดสิทธิได้ และต้องก�าหนดแผนและเป้าหมายกับการแก้ไข
ปรับปรุงจ�าแนกการใช้ที่ดินใหม่ตามการเพิ่มขึ้นของประชากร วิถีชีวิต ปัญหาการบุกรุกพื้นที่สงวนหวงห้ามของรัฐโดยก�าหนดมาตรการ
อาชีพ และความเป็นอยู่ของประชาชน และควรแก้ไขก�าหนดแนวเขตใหม่ งบประมาณ และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจนเพื่อก�าหนดให้เป็นมาตรฐาน
ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงอย่างรวดเร็วปรับปรุงกฎหมายทั้ง ๓ ด้าน อย่างเดียวกัน เพื่อให้มีความรวดเร็วและเป็นธรรมต่อเกษตรกรผู้ยากจน
คือ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านการมีส่วนร่วม และด้านการกระจายอ�านาจ ที่ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามการประกาศพื้นที่สงวน
ให้เป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เพื่อให้เห็นความสอดคล้องกันของ หวงห้ามของรัฐ และท�าให้ประชาชนที่อยู่อาศัยท�าประโยชน์ในพื้นที่นั้น
ขั้นตอนทั้ง ๓ ด้าน ให้มีความชัดเจนว่าการด�าเนินการของรัฐในการ ไม่ถูกด�าเนินคดีตามกฎหมาย ควรให้มีการด�าเนินงานโดยไม่เลือก
ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วม และการกระจายอ�านาจ ปฏิบัติมีความเสมอภาคโดยทั่วกัน ทั้งให้มีศาลพิจารณาพิพากษาตัดสิน
ให้รัฐจัดตั้งส่วนราชการให้มีหน้าที่ในการจัดท�ามาตรฐานระวางแผนที่ ในประเด็นนี้เป็นการเฉพาะ และหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือประชาชน
และแผนที่รูปแปลงที่ดินของรัฐ โดยเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดท�าแผนที่ ที่ถูกด�าเนินคดีต้องเข้าไปด�าเนินการทันทีโดยมิต้องให้ประชาชนร้องขอ
แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงเพื่อออกเป็นกฎหมาย
๔) การศึกษาวิจัย เรื่อง “รายงานการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาล
ในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖” ผู้ศึกษาวิจัย : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รศ.ดร.นนทวัชร์ นวตระกูลพิสุทธิ์)
สาระส�าคัญ เป็นการศึกษาวิจัยทางกฎหมาย
โดยแท้ (Juridical Research) และไม่มีความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์
ในทางการเมืองแต่อย่างใด การศึกษากระท�าโดยการค้นคว้าวิจัย
เอกสาร (Documentary Research) โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูล
ที่ได้จากรายงานของ “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบ ศึกษา และ
วิเคราะห์การก�าหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษและ
การน�านโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย
ชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน” (คตน.) และรายงานการศึกษา
วิเคราะห์ของ “คณะอนุกรรมการตรวจสอบผู้รับผิดชอบเชิงนโยบาย”
ตลอดจนศึกษากรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ การศึกษาเรื่อง
ร้องเรียนของผู้ได้รับผลกระทบจากการด�าเนินนโยบายดังกล่าว
การจัดประชุมกลุ่มย่อย (focus group) และรับฟังข้อเท็จจริง
และรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ จากครอบครัวของผู้เสียหายและบุคคล บทที่ ๒ : ผลการด�าเนินงานประจ�าปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘
ฝ่ายต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ภาคใต้ รวมทั้งมีการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า ภายหลังจากการ
ด�าเนินนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น
เป็นจ�านวน ๒,๖๐๔ คดี และมีผู้เสียชีวิตจ�านวนทั้งสิ้น ๒,๘๗๓ คน
ซึ่งเป็นจ�านวนสูงผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับคดีฆาตกรรมในช่วงระยะเวลา
เดียวกันก่อน (พ.ศ. ๒๕๔๔ – พ.ศ. ๒๕๔๕) และหลังการด�าเนินนโยบาย
ดังกล่าว (พ.ศ. ๒๕๔๗ – พ.ศ. ๒๕๔๘) กอปรกับมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ
การกระท�าความผิดอาญาซึ่งเป็นการกระท�าอันเป็นการละเมิด
สิทธิมนุษยชนต่อ กสม. เป็นจ�านวนมากซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบและ
ความเสียหายต่อประชากรพลเรือนอย่างกว้างขวาง รายงานการศึกษา
วิจัยได้ท�าการศึกษาสภาพการณ์และสภาพปัญหานโยบายปราบปราม
ยาเสพติดของไทยและเม็กซิโก มีผลการศึกษาโดยสรุป ดังนี้
รายงานผลการปฏิบัติงานประจ�าปี ๒๕๕๘ 61 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ