Page 196 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประจำปี 2558
P. 196
รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘
กลุ่มคนไร้รากเหง้า
ส�าหรับบุคคลที่ไม่สามารถสืบหาบิดามารดาหรือความเกี่ยวพันกับ
ประเทศอื่นใดได้ รัฐได้ท�าการส�ารวจและขึ้นทะเบียนบุคคลกลุ่มนี้
เพื่อพิจารณาให้สัญชาติไทยตามยุทธศาสตร์ ปี ๒๕๔๘ โดยที่
พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้มีบทบัญญัติ
ที่เกี่ยวกับเด็กไร้รากเหง้าที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ปี ๒๕๔๘
โดยก�าหนดให้ผู้อ�านวยการสถานสงเคราะห์ด�าเนินการของแปลง
สัญชาติให้เด็กไร้รากเหง้าที่ถูกทอดทิ้งและอยู่ในความดูแลของ
สถานสงเคราะห์นั้นเกินกว่า ๑๐ ปีแทนเด็กได้
สิทธิทางการเมือง ยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าหน่วยงานได้พยายามจัดระบบ
บุคคลที่ได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติจะไม่ได้รับสิทธิ เพื่ออ�านวยความยุติธรรมในค่าย แต่ไม่ประสบความส�าเร็จเนื่องจาก
ทางการเมืองบางประการเท่าเทียมกับบุคคลที่มีสัญชาติไทย ปัญหาอุปสรรค เช่น การที่ผู้อาศัยในศูนย์พักพิงฯ ไม่สามารถ
โดยการเกิด กล่าวคือ ผู้ที่ได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ออกจากพื้นที่ไปแจ้งความได้ ปัจจุบันจึงเป็นระบบที่ผู้พักพิงใน
จะต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕ ปี จึงจะใช้สิทธิออก ศูนย์พักพิงฯ บริหารจัดการกันเองตามระบบจารีต รัฐบาลไทย
เสียงเลือกตั้งได้ ในขณะที่ผู้จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ได้ให้องค์การเอกชนตั้งศูนย์ข้อมูลและให้ค�าปรึกษาทางกฎหมาย
ผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาหรือผู้บริหารขององค์กร ในพื้นที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยฯ ที่ถูกละเมิดสิทธิหรือตกเป็นผู้ต้องหา บทที่ ๕ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเปราะบาง
ปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดเท่านั้น ๒๗๕ ในคดีต่าง ๆ
การดูแลช่วยเหลือผู้ลี้ภัย/ผู้หนีภัยจากการสู้รบ องค์กรภาคประชาสังคมให้ข้อมูลว่านอกจากผู้หนีภัยการสู้รบ
ในส่วนของผู้ลี้ภัย/ผู้หนีภัยจากการสู้รบ ประเทศไทยได้ให้ที่พักพิง ในพื้นที่พักพิงแล้ว ยังมีผู้ลี้ภัยอื่น ๆ อาศัยอยู่ในประเทศไทย
แก่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมาที่อพยพหนีภัยการสู้รบเข้ามา ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายหรือมาตรการ
ในเขตประเทศไทยกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน แม้ว่าประเทศไทยจะ ที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัยแต่จะให้ความช่วยเหลือ
มิได้เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ และ ตามหลักมนุษยธรรมเป็นกรณี ๆ ไปผู้ลี้ภัยบางคนได้รับ
พิธีสารของอนุสัญญาฯ เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นปัจจัยดึงดูด สถานภาพเป็นผู้ที่อยู่ในความห่วงใย (Person of Concern –
ให้ประชากรจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศใกล้เคียงที่หนีภัย POC) ของ UNHCR จะได้รับเงินช่วยเหลือในการด�ารงชีวิต
เศรษฐกิจหรือภัยการเมืองเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เป็นรายเดือน แต่ชาวโรฮินจาไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก
และจะท�าให้ประเทศไทยมีภาระในการดูแลผู้หนีภัยเพิ่มขึ้น UNHCR โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด นอกจากนี้ คนต่างด้าว
ในขณะที่ประเทศไทยมีทรัพยากรจ�ากัด ประเทศไทยได้ให้ บางสัญชาติมักถูกจับกุมในข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย
การดูแลผู้หนีภัยการสู้รบเหล่านี้ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม ซึ่งบางกลุ่มอาจเข้าข่ายเป็นผู้ลี้ภัย เช่น ชาวปากีสถาน
และจัดให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดน กลุ่มอะห์มะดิยะห์ ชาวทมิฬศรีลังกา และชาวโรฮินจา
ไทย - เมียนมา รวม ๙ แห่ง ในระหว่างที่สถานการณ์ปัญหาในประเทศ ในด้านการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข รัฐบาลไทยอนุญาตให้
ต้นทางยังไม่ยุติ โดยรัฐบาลไทยเป็นผู้บริหารจัดการค่ายพักพิง องค์การเอกชนเข้ามาให้บริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่พักพิง
โดยร่วมมือกับส�านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ชั่วคราว เช่น Aide Medical International และ International
(UNHCR) และองค์กรภาคประชาสังคมทั้งในและต่างประเทศ Organization for Migration (IOM) แต่ในกรณีที่เกินขีด
ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรต่างประเทศ ความสามารถของศูนย์พักพิงชั่วคราว ศูนย์ฯ สามารถส่งต่อ
ในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่ปัจจุบัน ผู้ป่วยออกมารับการรักษาพยาบาลที่สถานบริการของรัฐได้
มีรายงานว่า ความช่วยเหลือจากต่างประเทศลดลงมากจนมีความ ไม่ว่าผู้ป่วยนั้นจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้หรือไม่ก็ตาม
กังวลว่าอาจกระทบต่อมาตรฐานความเป็นอยู่ของผู้ที่อยู่ในศูนย์พัก นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังให้ความช่วยเหลือในกรณี
พิงฯ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลจะมีแนวทางแก้ไขปัญหา ที่เกิดโรคระบาดในศูนย์พักพิงฯ และเกินขีดความสามารถ
ดังกล่าวอย่างไร นอกจากนี้ มีองค์กรภาคประชาสังคมให้ข้อมูล ขององค์การเอกชนที่ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงฯ ที่จะควบคุม
ว่า ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่พักพิงไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการ และแก้ไขปัญหาได้
๒๗๕ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๙๙, ๑๐๑ และ ๑๑๕ และพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๓ และ ๔๔
166

