Page 17 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 17
บทน�า
๑. ความส�าคัญของปัญหา
ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่ทั่วโลกให้ความส�าคัญ และพยายามร่วมมือกันต่อต้าน แม้ภาครัฐในประเทศต่างๆ จะมี
มาตรการเชิงรุกในการปราบปราบกระบวนการค้ายาเสพติดอย่างเข้มงวด แต่ปัญหายาเสพติดก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม ปริมาณ
การค้ายาเสพติดก็ยังมิได้ลดน้อยลง ดังนั้น ปัญหายาเสพติดจึงไม่ใช่ปัญหาของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบกับ
ทุกภาคส่วนในวงกว้างและเป็นสาเหตุส�าคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาในสังคมต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม
ความรุนแรงต่างๆ ซึ่งน�ามาซึ่งความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติดไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่งหรือ
ประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันสอดส่องดูแลการแพร่ระบาดของยาเสพติด
แต่ในการปราบปรามยาเสพติดนั้นจ�าเป็นจะต้องมีมาตรการที่เหมาะสม ทั้งในการป้องกัน ปราบปรามและฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้เสพยาเสพติดเพื่อให้สามารถกลับเข้ามาใช้ชีวิตปกติได้ในสังคมร่วมกับบุคคลทั่วไป การใช้มาตรการรุนแรงในการปราบปราม
ยาเสพติดมักจะได้ผลเพียงในระยะสั้น และยังเกิดปัญหาและผลกระทบอื่นๆ อีกมากมาย โดยในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒ มกราคม
๒๕๔๖ คณะรัฐมนตรีภายใต้การน�าของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้มีมติก�าหนดนโยบายปราบปราม
ยาเสพติดและก�าหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ตามที่นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเสนอ และต่อมาเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๖
พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้พูดทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ผ่านรายการทักษิณคุยกับประชาชน ความตอนหนึ่งมีว่า
“...เรื่องการปราบปรามยาเสพติดให้โทษ ผมได้เตรียมปรับขบวนในการที่จะท�าสงครามยาเสพติดอย่างรุนแรงเต็มที่ในปีนี้...”
หลังจากนั้น พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้มอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติการ และต่อมา
วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๖ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติดดังกล่าวใน “พิธีประกาศสงคราม
ขั้นแตกหักเพื่อเอาชนะยาเสพติด” ณ ลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร ความตอนหนึ่งมีว่า “...ผมขอประกาศตัวเป็นแม่ทัพใหญ่
ในการท�าสงครามขั้นแตกหักกับยาเสพติดและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ชาวไทยทุกคนต้องผนึกก�าลังร่วมรบชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน
เพื่อปราบปรามยาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายต้องปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติดอย่างเข้มงวดกวดขันและจริงจัง”
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ภายหลังจากการประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลและการมอบนโยบายแก่
เจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อน�าไปปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น ในช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ๒๕๔๖ (ช่วงเวลาของการปฏิบัติ
การตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด) มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเป็นจ�านวน ๒,๖๐๔ คดี และมีผู้เสียชีวิตจ�านวนทั้งสิ้น ๒,๘๗๓ คน
ซึ่งเป็นจ�านวนที่สูงผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบคดีฆาตกรรมในช่วงเวลาเดียวกันก่อนการด�าเนินนโยบาย (พ.ศ. ๒๕๔๔ – พ.ศ. ๒๕๔๕)
1
และหลังการด�าเนินนโยบายดังกล่าว (พ.ศ. ๒๕๔๗ – พ.ศ. ๒๕๔๘) นอกจากความเสียหายต่อชีวิตร่างกายดังกล่าวแล้ว ในช่วงเวลา
ดังกล่าว การกระท�าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในช่วงเวลาเดียวกันอันก่อให้เกิดผลกระทบและความเสียหายในด้าน
ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสียหายต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล สิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง ตลอดจนสิทธิของ
บุคคลในทรัพย์สิน
สภาพการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่ยึดหลักนิติรัฐ
ในการปกครองประเทศ และน�ามาซึ่งข้อห่วงใยขององค์กรสิทธิมนุษยชนของไทย คือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
1 รายละเอียดโปรดดู ศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร. วิสามัญฆาตกรรมคดียาเสพติดในประเทศไทย : ชอบด้วยกฎหมายหรือจงใจฆ่าทิ้ง?
(กรุงเทพฯ: ส�านักพิมพ์วิญญูชน). ๒๕๕๗, หน้า ๒๓.
ฐ
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖