Page 167 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 167
การกระท�าการที่เป็นกระบวนการหรือเป็นระบบ กล่าวคือ เป็นการกระท�าโดยมี “แผนการ
ด�าเนินการโดยรวม” ซึ่งจะก�าหนดเงื่อนไขของการกระท�าการในสามส่วนส�าคัญ ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง การก�าหนดบุคคลและพื้นที่
ที่เป็นเป้าหมายของการกระท�าการ และจัดท�าเป็นบัญชีรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (บัญชีด�า) ผู้เสียหายแทบทุกกรณีจึงเป็น
ผู้ที่มีชื่อระบุอยู่ในบัญชีดังกล่าว ส่วนที่สอง วิธีด�าเนินการหรือจัดการกับบุคคลที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งในแทบทุกกรณีจะด�าเนินการ
โดยกลุ่มบุคคล ใช้ความรุนแรงหรือใช้ก�าลังประทุษร้าย และใช้อาวุธปืนในการกระท�าการ ในบางกรณีถึงขนาดใช้อาวุธสงครามใน
การด�าเนินการ และส่วนที่สาม ผลลัพธ์ของการกระท�าการ ซึ่งทุกกรณีจะเป็นการมุ่งประสงค์ต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของ
บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการกระท�าการนั้นเป็นหลัก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการกระท�าการนั้นจะต้องถูก
สังหารหรือท�าให้ถึงแก่ความตายอย่างแน่นอน หรือถูกอุ้มหาย หรือท�าให้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย
การกระท�าการที่เป็นขั้นเป็นตอน กล่าวคือ เมื่อก�าหนดแผนการด�าเนินการโดยรวมแล้ว
ต่อจากนั้นจะได้มีการก�าหนดบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท�าการให้เป็นไปตามแผนการด�าเนินการและเป้าหมายดังกล่าว โดยมี
การก�าหนด “หน้าที่และความรับผิดชอบ” ของบุคคลต่างๆ จะต้องกระท�าการในส่วนที่เกี่ยวกับตน การกระท�าการตามแผนการ
ด�าเนินการดังกล่าวจึงเป็นการกระท�าที่เป็นขั้นเป็นตอน หรือเป็นการกระท�าตามล�าดับขั้นตอนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ก�าหนดไว้ใน
แผนการด�าเนินการดังกล่าว ให้มากที่สุดและให้เห็นผลอย่างชัดเจนที่สุด ทั้งนี้ โดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับช่วงระยะเวลาของการกระท�าการ
ให้ส�าเร็จตามที่รัฐบาลก�าหนดไว้โดยเคร่งครัดในนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดเป็นส�าคัญ
(๔) เป็นการด�าเนินการที่อาศัยอ�านาจรัฐและนโยบายของรัฐบาลเป็นพื้นฐาน
เพื่อให้การกระท�าการตามแผนการด�าเนินการโดยรวมดังกล่าวข้างต้นด�าเนินไปอย่าง
เป็นระบบ เป็นขั้นตอนตามล�าดับ และสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ก�าหนดไว้ในแผนการด�าเนินการดังกล่าวได้อย่างแน่นอนและ
มีประสิทธิภาพ การกระท�าการต่างๆ ตามแผนการด�าเนินการดังกล่าวจึงต้องมีพื้นฐานจาก “นโยบายของรัฐ” เป็นส�าคัญ ในที่นี้
ย่อมได้แก่ นโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
ได้ก�าหนดและประกาศเป็นวาระแห่งชาตินั่นเอง โดยนัยดังกล่าว รัฐบาลที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้น�า ได้ก�าหนดและประกาศ
นโยบายของในการปราบปรามยาเสพติด ตลอดจนองค์กรและเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของรัฐที่มีหน้าที่จะต้องไปด�าเนินการตามล�าดับชั้น
(ตามระบบ “Area Approach” ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการต�ารวจภูธรจะต้องด�าเนินการร่วมกันแบบ “ปาท่องโก๋”)
และแนวทางอย่างกว้างๆ ในการด�าเนินการขององค์กรและเจ้าหน้าที่ต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ก�าหนดไว้ในนโยบายโดย
เคร่งครัด โดยก�าหนดให้ใช้วิธีการรุนแรงและตอบโต้อย่างเข้มข้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และก�าหนดจุดหมายปลายทางของผู้ที่
เกี่ยวข้องกับยาเสพติดไว้เพียงสองแห่งเท่านั้น คือ “คุก” หรือ “วัด” ทั้งนี้ โดยไม่ค�านึงถึงหลักนิติรัฐและสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของ
บุคคลที่เป็นเป้าหมาย ทั้งนี้ ในการก�าหนดและประกาศนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดดังกล่าว รัฐบาลปล่อยให้องค์กรหรือ
เจ้าหน้าที่ต่างๆ ของรัฐที่มีหน้าที่ด�าเนินการตามนโยบายนั้นไปก�าหนดวิธีด�าเนินการต่างๆ กันเอง เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตาม
นโยบายของรัฐบาลเป็นส�าคัญเท่านั้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ก�าหนดเงื่อนไขของการด�าเนินการให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบาย
ดังกล่าวไว้อย่างเข้มงวดอีกด้วย ซึ่งประกอบด้วยเงื่อนไขส�าคัญๆ สามประการ ได้แก่ ประการที่หนึ่ง กรอบระยะเวลาสามเดือนที่องค์กร
หรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ ของรัฐจะต้องด�าเนินการให้บรรลุเป้าหมายหรือได้ผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายดังกล่าว กล่าวคือ ระหว่างวันที่
๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๖ ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายในการปราบปรามยาเสพติดดังกล่าว
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๖ ประการที่สอง เกณฑ์ชี้วัดผลสัมฤทธิ์หรือประสิทธิภาพของการด�าเนินการขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่
415
ต่างๆ ของรัฐว่าได้ด�าเนินการมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ตามข้อสั่งการของกระทรวงมหาดไทย โดยก�าหนดให้ต้องลดจ�านวน
415
หนังสือ ด่วนที่สุด ที่ มท ๐๒๑๑.๑/ว๔๓๖ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ เรื่อง เปลี่ยนแปลงการก�าหนดตัวชี้วัดด้านการป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด
146
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖