Page 7 - รายงานวิจัย เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
P. 7

บทสรุปผู้บริหาร





                           โครงการวิจัยเรื่อง “ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว” นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑. ศึกษา

                                      1
                   การด�าเนินชีวิตของผู้ลี้ภัย  ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในปัจจุบัน ๒. เพื่อประเมินความต้องการในการ
                   เตรียมความพร้อมเพื่อการส่งคืนผู้ลี้ภัยและครอบครัวกลับสู่ถิ่นฐาน และ ๓. เพื่อวิเคราะห์แนวทางการส่งกลับประเทศต้นทาง
                   และทางเลือกอื่น  ๆ  ของผู้ลี้ภัยโดยสมัครใจ  ความมั่นคงและความปลอดภัยในชีวิต  ภายใต้บริบทด้านเศรษฐกิจ  สังคม  และ

                   การเมือง
                                                          2
                           คณะผู้วิจัยได้คัดเลือกพื้นที่พักพิงชั่วคราว  ๔ แห่ง คือ จังหวัดตาก เลือกศึกษาพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ
                   และพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านนุโพ  จังหวัดราชบุรี  เลือกศึกษาพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านถ�้าหิน  และจังหวัดแม่ฮ่องสอน  เลือกศึกษา
                   พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านใหม่ในสอย และการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการทางมานุษยวิทยา ประกอบด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก
                   (Key  Informant  Interview)  การจัดท�ากรณีศึกษา  (Case  Study)  การสัมภาษณ์เชิงลึก  (Indepth  Interview)  และ

                   การสนทนากลุ่ม  (Focus  Group  Discussion)  รวมทั้งการสังเกตการณ์  เพื่อให้ได้ข้อมูลรายละเอียดและมุมมองของผู้ลี้ภัย
                   แต่อย่างไรก็ดี  คณะผู้วิจัยไม่สามารถเข้าไปเก็บข้อมูลในค่ายผู้ลี้ภัยได้  เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย  จึง
                   จ�าเป็นต้องขอความร่วมมือจากองค์กรที่ท�างานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย  ซึ่งได้แก่  เจ้าหน้าที่องค์กรเอกชนระหว่างประเทศ  เจ้าหน้าที่

                   องค์กรภาคประชาสังคม (Civil Society Organization: CSO) ช่วยคัดเลือกผู้ช่วยนักวิจัย หลังจากนั้น จึงจัดการอบรมวิธีการ
                   เก็บข้อมูลสนามให้แก่ผู้ช่วยนักวิจัย


                           ผลการศึกษา
                           ๑. สถานการณ์ชายแดนและค่ายผู้ลี้ภัย

                              พื้นที่ชายแดนของประเทศไทย ได้แก่ ราชบุรี กาญจนบุรี ตาก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้าม
                   กับรัฐชนกลุ่มน้อย มีชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์อยู่ใกล้บริเวณชายแดนเป็นจ�านวนมาก และยังมีกองก�าลังถืออาวุธชนกลุ่มน้อย (Ethnic
                   Armed Group) ของประเทศพม่า/เมียนมาร์ใช้เป็นพื้นที่สะสมก�าลังและหลบซ่อนการปราบปรามของกองทัพพม่า หรือ

                   ข้ามมาหาเสบียง  ตั้งแต่ปี  พ.ศ.  ๒๕๐๕  และเมื่อเกิดการสู้รบกันระหว่างกองก�าลังของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง  (Karen
                   National Union: KNU) และกองก�าลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตยฝ่ายพุทธ (Democratic Karen Buddhist Army: DKBA)
                   จนกระทั่งค่ายมาเนอร์ปลอว์แตก ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘ มีการอพยพหนีภัยสงครามของผู้คนประเทศพม่า/เมียนมาร์

                   มาในบริเวณชายแดนไทยจ�านวนมาก จนรัฐบาลไทยได้จัดตั้งพื้นที่พักพิงชั่วคราวขึ้นบริเวณชายแดนหลายจุด แต่ต่อมามีการย้าย
                   และยุบพื้นที่พักพิงฯ  เพื่อความปลอดภัยจากการลอบโจมตีของกองก�าลังฝ่ายตรงกันข้าม  ปัจจุบันเหลือค่ายผู้ลี้ภัย  ๙  แห่ง

                   อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย
                              เนื่องจากประเทศไทยมิได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ (Convention Relating
                   to the Status of Refugees 1951) ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับว่ามี “ผู้ลี้ภัย” อยู่ในประเทศ บุคคลเหล่านี้จึงได้รับการนิยาม



                          1   โครงการวิจัยนี้ใช้ค�าว่า “ผู้ลี้ภัย” ตามค�าที่ผู้หนีภัยจากการสู้รบและพักอาศัยในค่ายพักพิงชั่วคราวเรียกตนเอง ในขณะที่รัฐบาลไทยเรียกคน

                   เหล่านี้ว่า “ผู้หนีภัยจากการสู้รบ” เป็นที่น่าสังเกตว่า ส�านักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (The United Nations High Commissioner for
                   Refugees: UNHCR) เรียกคนเหล่านี้ว่า Refugee (ผู้ลี้ภัย) เช่นเดียวกัน ทั้งที่รัฐบาลไทยไม่ได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ ด้วย
                   เหตุนี้จึงท�าให้รัฐบาลไทยไม่ใช้ค�าว่า “ผู้ลี้ภัย” โดยใช้ค�าว่า “ผู้หนีภัยจากการสู้รบ”
                          2    พื้นที่หรือสถานที่ที่รัฐบาลไทยจัดหาให้ผู้ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศพม่า/เมียนมาร์  มีทั้งหมด  ๙  แห่ง  เรียกว่า  พื้นที่พักพิงชั่วคราว

                   (Temporary Shelter) แต่ผู้ลี้ภัย ตลอดจนองค์กรที่ท�างานในพื้นที่ดังกล่าว และผู้ลี้ภัยเองจะเรียกว่า Refugee Camp (ค่ายผู้ลี้ภัย) แต่โดยทั่วไปจะเรียก
                   สั้น ๆ ว่า แคมป์ (Camp) ทับศัพท์เสียงภาษาอังกฤษ ส�าหรับงานวิจัยนี้ ใช้ค�าว่า “ค่ายผู้ลี้ภัย” ตามค�าเรียกของผู้ลี้ภัยและองค์กรต่าง ๆ
             ฆ
             ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12