Page 11 - รายงานวิจัย เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
P. 11
สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ลี้ภัยตามที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ ทั้งที่คนเหล่านี้มีคุณสมบัติ “ผู้ลี้ภัย” ตามอนุสัญญาฯ ดังนั้น
จึงควรมีการทบทวนนิยามผู้ลี้ภัยโดยค�านึงถึงหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการเดินทาง สิทธิด้านการศึกษา
การสาธารณสุข เป็นต้น หากรัฐบาลไทยยังไม่ประสงค์จะยอมรับว่ามีผู้ลี้ภัย ก็สมควรจะพิจารณาให้เสรีภาพในการเดินทาง
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้สามารถหางานท�าภายในขอบเขตพื้นที่ที่ก�าหนดไว้ เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดรายได้และการ
ลดทอนศักยภาพของพวกเขา ข้อส�าคัญ ผู้ลี้ภัยเหล่านี้จ�านวนมากที่ตกอยู่ในสภาพจ�าเจ รอคอย และไม่มีความชัดเจนว่าจะ
ได้เดินทางกลับถิ่นฐานของตนเมื่อใด มีชีวิตอยู่ในที่พักที่คับแคบ แออัด บางคนต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
เด็กวัยรุ่นมีปัญหาการใช้ยาเสพติด มีกรณีการละเมิดทางเพศ สภาพของค่ายผู้ลี้ภัย ถึงจะไม่ใช่ค่ายกักกัน แต่ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่
ไม่ปรกติ ท�าให้เกิดความหดหู่ รอคอยการให้ความช่วยเหลือจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศ
๕.๒ ควรทบทวน (Rethinking) แนวคิดการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ผู้ลี้ภัยตกอยู่ในสภาพของการเป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมมาโดยตลอด แนวคิดการให้
ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยในลักษณะนี้ อาจจะมีความเหมาะสมกับผู้ที่หนีภัยจากการสู้รบหรือภัยธรรมชาติ ที่พวกเขาไม่สามารถ
ช่วยตัวเองได้ในระยะแรก แต่ผู้ลี้ภัยตามชายแดนไทย-พม่าเหล่านี้ได้อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี บางคนเกิด
และเติบโตในค่าย ดังนั้น จึงควรจะมีการทบทวนและเปลี่ยนวิธีคิดต่อผู้ลี้ภัยเสียใหม่ จากเดิมถูกมองว่าเป็น “เหยื่อของ
ความรุนแรง” เป็น “ผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือ” ขาดศักยภาพที่จะช่วยเหลือตนเอง มาเป็นการมองว่าผู้ลี้ภัยเป็นผู้ที่มี “ศักยภาพ”
ที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการพัฒนาการด�ารงชีวิตของตนเอง และเตรียมตัวส�าหรับอนาคตของตนเองและ
ครอบครัว โดยนัยนี้ ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย จากแนวคิด การให้ความช่วยเหลือด้าน
มนุษยธรรม (Humanitarianism) ไปสู่แนวคิดการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Development) การเปลี่ยน
แนวคิดดังกล่าวนี้ จ�าเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าในบรรดาผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยนั้น มีผู้ที่มีความรู้ ภูมิปัญญา ศักยภาพ
ตลอดจนประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ ระดับการศึกษา อายุ ระบบเครือญาติ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ และการนับถือศาสนา
ทั้งนี้ เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจ�าแนกผู้ลี้ภัยและจัดให้มีการอบรมเพิ่มพูนความสามารถบนพื้นฐานของศักยภาพ
๕.๓ นโยบายต่อผู้ลี้ภัยที่หลากหลาย
ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยมีความหลากหลายในด้านต่างๆ ที่อยู่ในวัยกลางคน หรือวัยสูงอายุและกลุ่มคนหนุ่มสาว
ผู้ลี้ภัยในวัยกลางคนหรือผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมของตนเอง มีความคิดเกี่ยวกับ “บ้านเกิดเมืองนอน”
บางคนมีภูมิปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟู และพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง แต่ส�าหรับผู้ลี้ภัยวัยหนุ่มสาว มักไม่มีความผูกพัน
กับประเทศพม่า/เมียนมาร์ มีแนวโน้มที่จะเลือกอยู่ในประเทศไทย หรือไปประเทศที่สาม รัฐบาลไทยจึงน่าจะพิจารณาคัดเลือก
และพัฒนาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ให้มีโอกาสในการท�างานการพัฒนาพื้นที่ชายแดน หรือในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐบาลมีแผน
ที่จะพัฒนาขึ้น
นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะส�าหรับการส่งผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมคืนกลับสู่ถิ่นฐาน ซึ่งชาวมุสลิม
อาจจะมีความเปราะบางมากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อันเนื่องจากความขัดแย้งด้านศาสนาพุทธและอิสลามในประเทศเมียนมาร์
ดังนั้น จึงควรมีนโยบายการเตรียมการส่งกลับเฉพาะเพื่อให้ความคุ้มครองผู้ที่มีวัฒนธรรมและการนับถือศาสนาที่แตกต่างออกไป
รวมทั้งสนับสนุนให้มีการศึกษาท�าความเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ลี้ภัยชาวมุสลิม
๕.๔ นโยบายการสร้าง “ชุมชนจินตนาการ
ปัญหาการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพม่า/เมียนมาร์ที่ประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยต่างๆ เป็นเรื่อง
ที่มีความส�าคัญอย่างยิ่งในกระบวนการส่งผู้ลี้ภัยกลับคืนสู่ถิ่นฐาน เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องของการวางมาตรการคุ้มครองผู้ลี้ภัย
ในการเดินทางกลับคืนสู่มาตุภูมิ หรือการหาพื้นที่ในการด�ารงชีวิตอย่างปลอดภัยและยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการธ�ารง
อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของผู้ลี้ภัย และการสร้าง “จินตนาการชุมชน” หรือส�านึกร่วมในการกลับคืนมาตุภูมิที่จะเป็นพื้นฐาน
ของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น UNHCR ฝ่ายรัฐบาลพม่า พรรคการเมือง กองก�าลังถืออาวุธ
ช
ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว