Page 10 - รายงานวิจัย เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
P. 10

อย่างไรก็ตาม ผู้ลี้ภัยบางส่วนได้เตรียมการอนาคตของตนเองด้วยการกลับไปส�ารวจพื้นที่ในชุมชนเดิม
                     บางคนได้เริ่มไปเพาะปลูกผลไม้ และข้าว บางส่วนมีการเตรียมหาพื้นที่รองรับเพื่อจะกลับไปตั้งถิ่นฐานใหม่ร่วมกัน เช่น

                     กลุ่มผู้ลี้ภัยค่ายผู้ลี้ภัยบ้านถ�้าหิน กลุ่มผู้ลี้ภัยค่ายบ้านนุโพ กลุ่มผู้ลี้ภัยค่ายบ้านใหม่ในสอย โดยสิ่งที่พิจารณาในการหาพื้นที่
                     รองรับ คือ ที่ดินที่เหมาะส�าหรับการเพาะปลูก ความปลอดภัย สถานศึกษาส�าหรับบุตรหลาน แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่มีสัญญาจาก
                     รัฐบาลพม่า/เมียนมาร์  ว่ามีความพร้อมที่จะให้มีการส่งกลับ  ถึงแม้ว่าจะมีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงแล้วก็ตาม  ยิ่งกว่านั้น

                     ในพื้นที่บางแห่งที่คาดหมายว่าผู้ลี้ภัยจะกลับไปตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกัน ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตอิทธิพลของกองก�าลัง
                     ถืออาวุธระดับท้องถิ่น หรือกองก�าลังพิทักษ์ชายแดน
                                ๔.๒ การเตรียมการโดย UNHCR

                                    หน่วยงานหลักที่มีบทบาทส�าคัญในการเตรียมการส่งผู้ลี้ภัยกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิม ได้แก่ UNHCR ซึ่งได้หารือ
                     กับรัฐบาลไทยและรัฐบาลเมียนมาร์มาโดยตลอด พร้อมทั้งได้จัดท�าแผนยุทธศาสตร์เตรียมการส่งกลับอย่างสมัครใจ (Strategic

                     Road  Map)  ขึ้น  ในขณะเดียวกัน  ได้จ�าแนกการเดินทางกลับคืนสู่ถิ่นฐานออกเป็น  ๓  รูปแบบ  คือ  ๑)  การเดินทางกลับ
                     ด้วยตนเอง (Spontaneous Repatriation) ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้วโดยตัวผู้ลี้ภัยเอง โดยที่ไม่ต้องแจ้ง UNHCR ๒) การเดินทางกลับ
                     คืนสู่ถิ่นฐานเดิม  โดยมี  UNHCR  อ�านวยความสะดวก  (Facilitated  Repatriation)  โดยการจัดหาข้อมูลก่อนเดินทางกลับ

                     ให้ความช่วยเหลือทั้งในระหว่างการเดินทางกลับและเมื่อกลับสู่ภูมิล�าเนาเป็นที่เรียบร้อย การเดินทางการกลับอาจจะเป็นทั้ง
                     ในรูปของแต่ละบุคคล หรือเป็นกลุ่ม และ ๓) การให้การสนับสนุนในการเดินทางกลับ (Promoted Repatriation) ส�าหรับ

                     การเดินทางรูปแบบที่  ๓  UNHCR  จะให้ความช่วยเหลือเต็มรูปแบบ  ตั้งแต่การประสานงานกับฝ่ายรัฐบาลพม่าในการหา
                     ที่อยู่อาศัย  การจัดท�าบัตรสมาร์ทการ์ด  รวมถึงการสนับสนุนยานพาหนะส�าหรับเดินทางกลับ  การคุ้มครองความปลอดภัยและให้
                     เงินช่วยเหลือส่วนหนึ่งเพื่อการด�ารงชีพ

                                ๔.๓ การเตรียมการโดยองค์กรภาคประชาสังคม
                                    ข้อกังวลส�าคัญของผู้ลี้ภัย  คือ  เรื่องการศึกษา  แม้ว่าเยาวชนในค่ายผู้ลี้ภัยจะมีความสามารถด้านภาษา
                     ที่หลากหลายและได้รับโอกาสในการศึกษาจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศแต่ผู้ส�าเร็จการศึกษาจากโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัย

                     ไม่ได้การรับรองวุฒิการศึกษา  (Accreditation)  ทั้งจากกระทรวงศึกษาของประเทศพม่า/เมียนมาร์และประเทศไทย  ด้วยเหตุนี้
                     องค์กรเอกชนและองค์กรที่เกี่ยวกับการศึกษาของรัฐชนกลุ่มน้อย  เช่น  KED  (Karen  Education  Development)  KnED
                     (Karenni  Education  Department)  จึงพยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหานี้  เพื่อให้นักเรียนเหล่านี้ได้รับการรับรอง

                     วุฒิการศึกษาจากรัฐบาลพม่า/เมียนมาร์ โดยแบ่งแผนงานด้านการศึกษาออกเป็นแผนงานระยะสั้นและแผนงานระยะยาว ส�าหรับ
                     แผนระยะสั้น  เป็นการเตรียมโรงเรียนในฝั่งชายแดนพม่า/เมียนมาร์ในรัฐฉาน  รัฐคะยาห์  รัฐกะเหรี่ยงและรัฐมอญ  โรงเรียนที่ตั้ง

                     อยู่ในบริเวณชายแดนที่เข้าร่วมโครงการนี้  เรียกว่า  Welcoming  School  ส่วนแผนระยะยาวให้ความส�าคัญต่อการประสานงาน
                     โรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างมาตรฐานหลักสูตรคู่มือการสอน รวมทั้งมีความพยายามเจรจากับกระทรวงศึกษาธิการพม่า/เมียนมาร์
                     ให้ยอมรับหลักสูตรของโรงเรียนในค่ายผู้ลี้ภัยด้วย


                              ๕. ข้อเสนอแนะทางเลือก

                                 ในระหว่างที่รอการส่งผู้ลี้ภัยกลับคืนถิ่นฐานในประเทศต้นทาง มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่ควรจะมีการพิจารณาควบคู่
                     ไปกับการเตรียมการส่งกลับ

                                 ๕.๑ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ควรมีการทบทวน (Rethinking) การนิยามผู้ลี้ภัย
                                     สืบเนื่องจากรัฐบาลไทยมิได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญาสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. ๑๙๕๑ จึงท�าให้ประเทศไทย

                     ไม่ยอมรับว่ามี “ผู้ลี้ภัย” และเรียกผู้ที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง ๙ แห่งว่า “ผู้หนีภัยจากการสู้รบ” และหากบุคคลเหล่านี้เดินทาง
                     ออกมาภายนอกค่ายผู้ลี้ภัย จะกลายเป็นผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ การนิยามนี้

                     จึงเป็นการกดตรึงหรือกักขังให้ผู้คนเหล่านี้ต้องกลายเป็นผู้ที่จะต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับการคุ้มครอง

                                                                                                                      ฉ
                                                                            ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14   15