Page 36 - รายงานวิจัย เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
P. 36

สถานการณ์ที่น�ามาสู่การอพยพและการตั้งค่ายผู้ลี้ภัย




                              ส�ำหรับพื้นที่ชำยแดนของประเทศไทย ได้แก่ รำชบุรี กำญจนบุรี ตำก เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอนและเชียงรำย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ำม
                  กับรัฐชนกลุ่มน้อย ยังมีกลุ่มชำติพันธุ์ที่ตั้งชุมชนเป็นหลักแหล่งอยู่ใกล้บริเวณชำยแดนเป็นจ�ำนวนมำก ดังนั้น จึงมีกำรเดินทำงไปมำหำสู่

                  ติดต่อค้ำขำย แต่งงำนและเชื่อมสัมพันธ์ทำงวัฒนธรรมกันมำอย่ำงยำวนำน จึงกล่ำวได้ว่ำ พื้นที่บริเวณชำยแดน (Borderland) จึงเป็น
                  พื้นที่ที่มีควำมส�ำคัญทั้งในด้ำนควำมมั่นคง เศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ในช่วงที่ประเทศพม่ำ/เมียนมำร์ มีนโยบำยปิดประเทศ
                  พื้นที่บริเวณชำยแดนจึงกลำยเป็นพื้นที่ที่กองก�ำลังถืออำวุธชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่ำ/เมียนมำร์  ใช้เป็นพื้นที่สะสมก�ำลังและหลบซ่อน

                  กำรปรำบปรำมของกองทัพพม่ำ หรือข้ำมมำหำเสบียง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ นอกจำกนั้น ยังเป็นเส้นทำงของกำรลักลอบค้ำขำยข้ำม
                  แดน รวมทั้ง “ตลำดมืด” ชำยแดน ที่ท�ำให้กองก�ำลังถืออำวุธชนกลุ่มน้อยสำมำรถมีก�ำลังทำงเศรษฐกิจที่ใช้หล่อเลี้ยงกองก�ำลัง ซื้ออำวุธ
                  ยุทโธปกรณ์และปฏิบัติกำรทำงทหำรของตนได้

                              ถึงแม้ว่ำกลุ่มชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่ำ/เมียนมำร์ จะมีควำมคล้ำยคลึงกันในด้ำนภำษำและวัฒนธรรมกับ
                  กลุ่มชำติพันธุ์บำงกลุ่มในประเทศไทย  แต่ก็มีควำมต่ำงกันอย่ำงมำกในด้ำนจ�ำนวนประชำกรและประวัติศำสตร์ของควำมสัมพันธ์กับรัฐ
                  นั่นคือ กลุ่มชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในประเทศไทยไม่ได้มีกำรต่อสู้เรียกร้องกำรปกครองตนเอง ถึงขนำดมีกำรจัดตั้งเป็นกองก�ำลังต่อสู้กับ

                  รัฐบำล อีกทั้งรัฐบำลไทยยังได้ใช้นโยบำยผสมกลมกลืนจนท�ำให้กลุ่มชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยมีควำมภักดีต่อรัฐไทย หำกจะมีควำมขัดแย้ง
                  เกิดขึ้น  ก็จะเป็นกลุ่มก่อกำรร้ำยในสำมจังหวัดชำยแดนภำคใต้ที่ใช้ควำมรุนแรงปะทะกับทหำร หรือท�ำร้ำยชำวบ้ำนในช่วงหนึ่งทศวรรษ

                  ที่ผ่ำนมำ
                              ส�ำหรับกรณีของประเทศพม่ำ/เมียนมำร์ ควำมเป็นชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยเริ่มต้นตั้งแต่ยุคอำณำนิคม ที่อังกฤษได้ใช้นโยบำย
                  “แบ่งแยกและปกครอง” โดยจ�ำแนกกลุ่มชำติพันธุ์ให้มีควำมแตกต่ำงกันอย่ำงชัดเจน รวมทั้งยังใช้กลุ่มชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยให้เป็น
                  ประโยชน์ในกำรบริหำรงำนอำณำนิคม  เช่น  ใช้ชำวอินเดียเป็นกองก�ำลังต�ำรวจ  ใช้ชำวกะเหรี่ยงและคะฉิ่นให้เป็นทหำรในกองทัพ

                  ของอังกฤษ  กำรให้ควำมส�ำคัญแก่ชนกลุ่มน้อยเหล่ำนี้  จึงเป็นกำรคำนอ�ำนำจกลุ่มชำติพันธุ์พม่ำ  (Burman)  ที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ใน
                  ประเทศหลังจำกที่ประเทศพม่ำ/เมียนมำร์ได้รับอิสรภำพจำกอังกฤษ ผู้น�ำประเทศพม่ำในขณะนั้นได้ยกเลิกสนธิสัญญำปำงหลวง

                  (Paluang Agreement) ที่ให้โอกำสและควำมหวังแก่ชนกลุ่มน้อยในกำรเข้ำร่วมในระบบกำรปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal Union)
                  สำมำรถปกครองตนเองและแยกตัวออกเป็นอิสระได้ในอนำคต (หำกต้องกำร) ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงกลุ่มชำติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยกับ
                  รัฐบำลพม่ำ/เมียนมำร์ จึงพัฒนำกลำยเป็นควำมขัดแย้งที่ทวีควำมรุนแรงมำกขึ้นในช่วงเวลำหลำยทศวรรษต่อมำ กลุ่มชำติพันธุ์

                  ชนกลุ่มน้อยเหล่ำนี้ต้องกำรสิทธิในกำรปกครองตนเอง  และเสรีภำพในกำรใช้ภำษำและปฏิบัติวัฒนธรรมของตน อุดมกำรณ์ปำงหลวง
                  จึงมีกำรสืบสำนและถูกน�ำมำใช้ในกำรเรียกร้องต่อรัฐบำลพม่ำ/เมียนมำร์มำโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน
                              ในทำงตรงกันข้ำม  พม่ำ/เมียนมำร์ต้องกำรเอกภำพทำงกำรเมือง  ไม่ต้องกำรให้เกิดกำรแยกตัวเป็นอิสระอันจะน�ำไปสู่

                  ปัญหำกำรแบ่งแยกอธิปไตย  (Disintegration  of  Sovereignty)  จึงเป็นสำเหตุที่ท�ำให้เกิดกำรสู้รบระหว่ำงรัฐบำลพม่ำ/เมียนมำร์
                  และชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่ำงๆ มำโดยตลอด ยิ่งประเทศพม่ำ/เมียนมำร์เลือกที่จะใช้นโยบำยสังคมนิยมแบบพม่ำ (Burmese Way of
                  Socialism) ตั้งแต่สมัยพลเอกเนวิน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ รวมทั้งนโยบำยชำตินิยมที่ให้ควำมส�ำคัญต่อชนชำติพม่ำ ก็ยิ่งท�ำให้เกิดปฏิกิริยำ

                  ต่อต้ำนจำกชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่ำงๆ ถึงขั้นมีกำรรวบรวมก�ำลังพลจัดตั้งเป็นกองก�ำลังถืออำวุธ เช่น KNU KnPP กองก�ำลังกู้ชำติไทใหญ่
                  (Shan State Army: SSA) กองก�ำลังแห่งพรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) องค์กรคะฉิ่นอิสระ/กลุ่มประชำธิปไตย

                  ชำติพันธุ์คะฉิ่น  (Kachin  Independence  Organization:  KIO)  ซึ่งมีกองก�ำลังอิสระคะฉิ่น  (Kachin  Independent  Army:  KIA)
                                          3
                  ที่ต่อสู้กับรัฐบำลพม่ำ/เมียนมำร์   กองก�ำลังเหล่ำนี้มักจะอำศัยพื้นที่บริเวณประชิดชำยแดนไทย-พม่ำ/เมียนมำร์เป็นฐำนที่มั่น  (ยกเว้น
                  KIA)  หรือเป็นพื้นที่ในกำรหลบซ่อนเมื่อเพลี่ยงพล�้ำ  เป็นที่สะสมก�ำลัง  หำเสบียง  หรือแม้แต่กำรเกณฑ์ชำวบ้ำนให้เป็นทหำร  หรือเป็น

                  ลูกหำบในกำรขนอำวุธยุทโธปกรณ์ต่ำงๆ  ผู้น�ำกองก�ำลังเหล่ำนี้บำงครั้งข้ำมพรมแดนเข้ำมำพักอำศัยในประเทศไทย  หรือมีครอบครัว
                  อยู่ในพื้นที่ประเทศไทย  รัฐบำลพม่ำ/เมียนมำร์ได้ใช้ก�ำลังทหำรเข้ำปรำบปรำมกองก�ำลังถืออำวุธชนกลุ่มน้อยอย่ำงรุนแรง  สถำนกำรณ์





                         3    พรพิมล  ตรีโชติ ๒๕๔๗: ๒๐-๒๒

 22                                                                                                                  23
 ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว               ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41