Page 116 - รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
P. 116
ตํารวจก็ยึดติดว่าผู้ตกเป็นเหยื่อจะต้องโดนทุบตีทําร้าย หรือทํางาน ๒๔ ชั่วโมง แต่ตํารวจไม่ได้มองว่า
เหยื่อถูกหลอกมา บางทีคนที่น่าจะตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ กลับไม่ได้เป็น องค์กรระหว่างประเทศก็ยัง
งงๆ อยู่กับการตีความของกฎหมายไทย กฎหมายขององค์กรระหว่างประเทศตีความว่าถูกหลอกมาแบบนี้
ก็คือการค้ามนุษย์ แต่พอใช้กฎหมายไทย กลับกลายเป็นว่า ไม่ได้ตกเป็นเหยื่อ มันก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่
เป็นเรื่องของวิชาการ
หลังการเปิดประชาคมอาเซียน มูลนิธิฯ มองว่ารูปแบบการค้ามนุษย์จะซับซ้อนมากขึ้น ใน
กระบวนการนําพาเข้ามา พอเปิดอาเซียนจะมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น และจะมีการแฝงตัวเข้า
มา เพราะฉะนั้นการที่จะปูองกันได้ก็ต้องปูองกันจากประเทศต้นทาง ถ้ามองป๎จจัยก็คือมีเสรีภาพในการ
เคลื่อนย้าย ถ้ามองเรืองความรุนแรงและอาจจะไม่สามารถหยุดได้น่าเป็นเรื่องของระบบการจัดการ
เสรีภาพตรงนี้ เพื่อให้การปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นควรจะมีการให้
ข้อมูล ความรู้ แก่คนที่ประเทศต้นทางก่อนที่เข้าจะเดินทางเข้ามา ควรมีการอบรมให้คนในประเทศเขา
ก่อน
มูลนิธิฯ เห็นว่า ป๎ญหาของกฎหมายปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์คือการตีความ นอกจาก
การตีความก็จะเป็นในส่วนของแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เช่น ในมาตราที่ ๒๙ ในเรื่องของการคัดแยกเหยื่อ
ของเจ้าหน้าที่ พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถกัก คุมตัวเหยื่อไว้ได้ แต่ไม่เกิด ๒๔ ชั่วโมง แต่ถ้าอยากควบคุม
ตัวมากกว่านั้นก็ต้องยื่นคําฟูองต่อศาล ให้ศาลสั่ง และศาลก็จะสั่งให้ควบคุมตัวได้ไม่เกิน ๗ วัน ซึ่งตรงนี้
เป็นป๎ญหามากเพราะในการคัดแยกผู้ตกเป็นเหยื่อ เวลาแค่นี้มันไม่ทัน ถ้าตั้งคัดแยกเหยื่อ ๒๐ – ๓๐ คน
มันไม่สามารถทําได้ภายในวันเดียว แล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่อยากทําเรื่องไปที่ศาลเพราะต้องทําหนังสือเยอะมาก
ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดอ่อนของกฎหมายฉบับนี้ และถ้าเป็นเรื่องการปูองกัน ก็คือการเข้าตรวจสถาน
ประกอบการ ในมาตรา ๒๗ คือ พนักงานเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบสถานประกอบการได้ก็ต่อเมื่อมี
มูลเหตุอันจะเชื่อได้ว่ามีการค้ามนุษย์ถึงจะเข้าไปตรวจได้ และในการตรวจสถานประกอบการก็จะเป็น
เจ้าหน้าที่ในส่วนของตรวจแรงงาน ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจเรืองการค้ามนุษย์ เพราะฉะนั้นใน
แง่ของการปูองกันมันไม่มีประสิทธิผลเลย
นอกจากการปรับปรุงกฎหมายแล้ว มูลนิธิฯ เห็นว่า ควรปรับปรุงนโยบายระยะยาวมากกว่าระยะ
สั้น และเป็นนโยบายที่ครอบคลุมและถูกต้อง ที่ใกล้ๆ ตัวน่าจะเป็นนโยบายการขึ้นทะเบียนแรงงานที่คิดว่า
จับต้องได้ เป็นรูปธรรม แต่ก็ควรจะดูที่ระยะเวลาความเป็นไปได้ในการขึ้นทะเบียนด้วย ถ้าอยากให้ One
stop service เกิดขึ้นได้จริง อยากให้แรงงานที่ผิดกฎหมายมาขึ้นทะเบียน แล้วขยายเวลาในการ
ตรวจสอบและพิสูจน์สัญชาติเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทย แต่นี้เรามากําหนดกรอบให้มันสั้น
เกินไป ทําให้หลายคนก็ตั้งคําถามว่ามันจะพิสูจน์ทันหรือ
(๓) มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน( LPN)
มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ Labour Rights Promotion Network
Foundation (LPN) เดิมชื่อ “เครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน” ก่อตั้งขึ้นปลายปี ๒๕๔๗
ดําเนินการภายใต้คณะบุคคลเพื่อการทํางานภาคประชาสังคมและเน้นการทํางานประเด็นแรงงานข้ามชาติ
ในจังหวัดสมุทรสาครเป็นหลัก เครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานมุ่งมั่นศึกษา ค้นคว้าเรื่องเด็กข้ามชาติ
เพราะเล็งเห็นป๎ญหาด้านการศึกษา อีกทั้งพบการปล่อยปะละเลยของผู้ปกครอง และยังพบป๎ญหาแรงงาน
เด็กปะปนอยู่ตามสถานประกอบการ
๙๖