Page 42 - รายงานการศึกษาวิจัย บทบาทของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการคุ้มครองการละเมิดสิทธิมนุษยชนของภาคเอกชน
P. 42
42 รายงานการศึกษาวิจัย บทบาทของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ในการคุ้มครองการละเมิดสิทธิมนุษยชนของภาคเอกชน
การใช้รูปแบบผู้ตรวจการกับประเด็นสิทธิมนุษยชนเริ่มแพร่หลายในทศวรรษ 1980
และ 1990 ในทวีปอเมริกาใต้ ยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก หลายประเทศนำารูปแบบนี้
มาปรับใช้แบบ “ลูกผสม” กล่าวคือ มอบอำานาจให้ผู้ตรวจการไม่เพียงแต่เฝ้าระวัง
ความชอบทางกฎหมายและความเป็นธรรมของหน่วยงานรัฐอย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่
ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยมีอำานาจสืบสวนสอบสวนและเฝ้าติดตาม
การทำาตามกฎระเบียบและสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ในบางประเทศ ผู้ตรวจการ
ด้านสิทธิมนุษยชนยังมีอำานาจส่งข้อเสนอแนะและคำาแนะนำาเชิงนโยบายไปยังรัฐบาล
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน โดยมากประเทศที่ใช้รูปแบบนี้มักจะกำาหนด
ภารกิจ (mandate) ที่ชัดเจนสำาหรับผู้ตรวจการ อาทิ การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ
การเลือกปฏิบัติทางเพศ สิทธิเด็ก เป็นต้น
รูปแบบนี้แตกต่างจากรูปแบบคณะกรรมการอย่างมีนัยสำาคัญตรงที่มีบุคคลเดียว
เป็นผู้ปฏิบัติการ มิได้มีตัวแทนที่หลากหลายจากทุกภาคส่วนมาประกอบกันเป็น
คณะกรรมการ และเหตุนี้จึงไม่เข้าข่ายโครงสร้างพหุนิยมที่ชุดหลักการปารีสสนับสนุน
ประเทศที่ใช้รูปแบบผู้ตรวจการ อาทิ นอร์เวย์ และสวีเดน
4. รูปแบบสถาบันสิทธิมนุษยชน
รูปแบบสถาบันสิทธิมนุษยชน (Human Rights Institute) ส่วนใหญ่ใช้ในประเทศ
ซึ่งมีหน่วยงานที่ทำาหน้าที่เฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว อย่างเช่น ผู้ตรวจการ
(Ombudsman) เฉพาะด้าน และมีวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนที่ค่อนข้างดี
สถาบันเหล่านี้เน้นการให้การศึกษาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ตลอดจนทำาการ
ค้นคว้าวิจัยและเก็บบันทึกสถิติอย่างเป็นระบบ แทนที่การสืบสวนสอบสวนหรือเฝ้าติดตาม
การทำาตามกฎกติกาของภาครัฐ โครงสร้างของสถาบันสิทธิมนุษยชนสะท้อนหน้าที่หลัก
ขององค์กร กล่าวคือ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ ทำางานภายใต้คณะกรรมการ
ตัวอย่างประเทศที่ใช้รูปแบบนี้ ได้แก่ เดนมาร์ก และเยอรมนี