Page 67 - รายงานการศึกษาวิจัย มาตรฐานสากลในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเคารพสิทธิมนุษยชน
P. 67

ทั้งนี้ การได้รับค่าชดเชยที่เพียงพอถือเป็นสิทธิของชาวบ้านจากการสูญเสียที่ดิน ซึ่งประเด็นสำาคัญ

                       คือ วิธีการคำานวณค่าชดเชย บริษัทฯ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นว่า เงินสดแต่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
                       กับค่าใช้จ่ายในการย้ายที่อยู่ใหม่ จึงมีการจัดสรรเงินให้หมู่บ้านละ 10,500 บาท โดยแต่ละหมู่บ้านนำาไป
                       จัดสรรกันเองตามความเหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจัดซื้ออุปกรณ์การเกษตรให้กับชาวบ้าน

                       ที่ต้องพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมในที่ดินใหม่ บางหมู่บ้าน บริษัทฯ ได้จัดหาทุนเพิ่มเติมเพื่อจ้างคนมา
                       จัดเตรียมที่ดินสำาหรับการเพาะปลูกและจัดหาปุ๋ย

                            สำาหรับสัญญาจัดหาที่อยู่ใหม่ของแต่ละหมู่บ้าน บริษัทฯ เห็นชอบให้มีกองทุนเพิ่มเติมเพื่อพัฒนา
                       โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แก่ชุมชน โดยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้าน

                            ในการเลือกพื้นที่ บริษัทฯ ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาประเมินและวิเคราะห์หาพื้นที่ที่เป็นไปได้
                       ซึ่งมีผู้ว่าการรัฐ ตัวแทนบริษัทฯ และผู้นำาหมู่บ้านร่วมเป็นกรรมการว่าจ้างองค์กรพัฒนาเอกชนสองแห่ง

                       เป็นที่ปรึกษา
                            ต่อมา ในกระบวนการก่อสร้าง บริษัทฯ ได้ร่วมปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้นำาหมู่บ้าน
                       โดยพิจารณาจากความต้องการของชาวบ้าน (United Nations Global Compact, 2007)

                            รายงานของสำานักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติระบุว่า บริษัทแห่งนี้

                       เป็นตัวอย่างของกระบวนการสื่อสารและปรึกษาหารือร่วมกับชุมชน ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ดี
                       โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นช่องทางที่ทำาให้ได้รับข้อมูลจากชาวบ้าน รวมทั้งหาทาง
                       เยียวยา นอกจากนี้ การจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญที่จัดทำารายงานด้านผลกระทบต่อสังคม

                       และเศรษฐกิจ ซึ่งทำาให้การจัดการเป็นไปอย่างคำานึงถึงประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น



                            ข้อวิจารณ์ต่อการแก้ไขปัญหาของบริษัทฯ
                            อย่างไรก็ตาม สหพันธ์สิทธิมนุษยชนสากล (International Federation for Human Rights :

                       FIDH) ซึ่งจัดทำารายงานว่าด้วยเหมืองแร่และสิทธิมนุษยชนในประเทศมาลี และเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2550
                       เห็นว่า ยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจากการดำาเนินการของบริษัทฯ และมองว่ากลไกของ IFC

                       ใช้การไม่ได้ผล
                            เริ่มต้นจากการที่แผนบูรณาการของบริษัทฯ ขาดวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาระยะยาว

        66             การจ้างที่ปรึกษาต่างๆ ทั้งการกำาหนดยุทธศาสตร์ การฝึกอบรมให้กับชุมชนท้องถิ่น ครอบคลุมเพียง
                       6 เดือน ชุมชนได้มีส่วนร่วมกับโครงการในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น

                            แผนปฏิบัติการเพิ่งถูกร่างขึ้น 4 ปีหลังจากที่บริษัทฯ กล่าวถึงมาตรการพัฒนาชุมชน ทำาให้การปฏิบัติ
                       ที่เกิดขึ้นไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในเวลานั้นอีกต่อไปแล้ว เช่น สวัสดิการต่างๆ บริเวณที่มี
                       การดำาเนินงาน และยังมีอีก 8 ชุมชนซึ่งได้รับผลกระทบแต่ไม่ได้ถูกกำาหนดไว้ในแผนของบริษัทฯ
                                                                    ้
                            นอกจากนี้ แม้โครงการเหมืองแร่ทองคำาจะเน้นยำาถึงความสำาคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชน
                       แต่เพิ่งมีการตีพิมพ์เงื่อนไขและขอบเขตต่างๆ หลังจากที่มีการจัดตั้งกองทุนของชุมชนไปแล้ว 4 ปี

                       แม้จะมีการระบุรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน แต่เอกสารเป็นภาษาอังกฤษยาว 1 หน้า
                       ซึ่งถือเป็นข้อจำากัดต่อชุมชน








                                           รายงานการศึกษาวิจัยมาตรฐานสากลในการดำาเนินธุรกิจเพื่อการคารพสิทธิมนุษยชน



        59-09-116 001-128 vijai lem4 i_coated.indd   66                                                            9/24/16   1:50 PM
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72