Page 34 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 34

ว่ากระทำาผิดจริงและสำานึกในการกระทำา  ผู้ต้องหาต้องการหรือยินดีแถลงข่าวต่อสาธารณชนเพื่อให้
                    รับรู้ว่าการกระทำาของตนนั้นเป็นการทำาลายชาติและเยาวชน ขอให้ผู้ที่คิดจะค้ายาบ้าหรือเสพยาบ้า

                    เลิกคิด เลิกค้า หรือเลิกเสพยาบ้า
                                  ๒)  แนวทางการพิจารณาของศาลที่เห็นว่ากรณีเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน

                                      โจทก์เป็นเจ้าคณะอำาเภอฟ้องหาว่า จำาเลยกล่าวคำาหมิ่นประมาทใส่ความ
                    โจทก์เข้าหานางชีที่ห้องวิปัสสนา เป็นเหตุให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชังนั้น จำาเลยขอพิสูจน์

                    ความจริงได้เพราะการพิสูจน์ความจริงของจำาเลยย่อมเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เนื่องจากประชาชน
                    ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ  ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนย่อมหวงแหนที่จะมิให้ผู้ใดมาทำาลายหรือทำาความ

                    มัวหมองให้แก่พุทธศาสนาที่ตนนับถือ ยิ่งเมื่อจำาเลยมาพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ต่อศาลได้ ก็เป็น
                    ประโยชน์แก่คนทั่วไปที่จะได้ไม่มัวหลงเคารพเลื่อมใสโจทก์ต่อไป (ฎีกาที่ ๑๐๗๓/๒๕๐๗)

                                      ในส่วนของการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ได้มีข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพ
                    หนังสือพิมพ์ ข้อ ๑๕ ระบุว่า “ในการเสนอข่าวหรือภาพใดๆ หนังสือพิมพ์ต้องคำานึงมิให้ล่วงละเมิด

                    ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าว  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องให้ความคุ้มครองอย่างเคร่งครัด
                    ต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาส ในการเสนอข่าวตามวรรคแรก  ต้องไม่เป็นการซ้ำาเติม

                    ความทุกข์หรือโศกนาฏกรรมอันเกิดแก่เด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาสนั้นไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง”  ซึ่ง
                    ผู้ประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์บางรายยังมีการนำาเสนอภาพข่าวผู้ต้องหา  และในกรณีที่ผู้ต้องหา

                    เข้ามอบตัวที่สถานีตำารวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำารวจได้ใส่กุญแจมือผู้ต้องหารายนั้น ซึ่งประมวลกฎหมาย
                    วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๖  บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ใช้วิธีการควบคุมผู้ถูกจับเกินกว่าที่จำาเป็น

                    เพื่อป้องกันมิให้เขาหนีเท่านั้น” จะเห็นได้ว่า ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่

                              ๘)  การประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านกฎหมายและ

                    การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๔

                                  ผู้แทนสื่อมวลชน  ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบ

                    คำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สรุปได้ ดังนี้

                                  สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เริ่มก่อตั้งได้ประมาณปีเศษ  ปัจจุบันมีสมาชิก
                    ประมาณ ๑๘ องค์กร เช่น สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง ๓  สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก  บริษัท
                    อสมท. จำากัด (มหาชน)  บริษัท สำานักข่าว ไอเอ็นเอ็น จำากัด  บริษัท สำานักข่าว ทีนิวส์ จำากัด  บริษัท

                    สปริงส์ คอร์ปอเรชั่น จำากัด (สปริงนิวส์)  วอยส์ทีวี  เอ็มทีวี  และสถานีวิทยุจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                    เป็นต้น  ส่วนสถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง ๗ ซึ่งเดิมเคยเข้าเป็นสมาชิกในลักษณะของบริษัทผู้ผลิตข่าว
                    แต่เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงบริษัทผู้ผลิตข่าว  จึงยังไม่ได้มีการส่งตัวแทนเข้ามาร่วมเป็นสมาชิก
                    ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดต่อประสานงาน ซึ่งในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเป็นระบบสมัครใจ โดยสภาวิชาชีพ

                    ข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยจะกำากับดูแลเฉพาะสมาชิกเท่านั้น ให้เป็นไปตามธรรมนูญสภาวิชาชีพข่าว

                    วิทยุและโทรทัศน์ไทย พ.ศ. ๒๕๕๒  ข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยว่าด้วยจริยธรรมแห่ง




                                                                                                         33

                                                                       สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
                                                      กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39