Page 53 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2557
P. 53
52 รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำาปี ๒๕๕๗
ในช่วงการเข้าควบคุมอำานาจของ คสช. มีความจำาเป็นที่จะต้องใช้มาตรการจำากัดสิทธิและ
เสรีภาพบางประการในช่วงระยะเวลาที่มีแนวโน้มว่าจะมีสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และอาจจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนและต่อต้านรัฐบาล ประกอบกับมีผู้ใช้อาวุธสงคราม
ต่อประชาชนผู้ชุมนุม และสถานที่สำาคัญหลายครั้ง และมีการจับกุมอาวุธสงครามได้เป็นจำานวนมาก
แต่ภายหลังการเข้าควบคุมอำานาจในระยะหนึ่ง เห็นว่ามีสถานการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ
อย่างมีนัยสำาคัญหลายประการ ดังนี้
F การกำาหนดให้ความผิดบางประเภทตามประมวลกฎหมายอยู่ในอำานาจพิจารณาพิพากษา
คดีของศาลทหารนั้น ย่อมกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม
๑๔
ที่พึงได้รับในช่วงเวลาปกติ เนื่องจากศาลทหารมีการพิจารณาแค่ศาลชั้นเดียวจึงเป็น
การจำากัดโอกาสในการให้หลักประกันสิทธิทางอาญาของผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ จากการ
ตรวจสอบของ กสม. เห็นว่า มีกระบวนพิจารณาที่ถือเป็นความลับ อาจทำาให้สังคม
ภายนอกเกิดความกังวลต่อผลการพิจารณาคดี
F การจำากัดสิทธิ และเสรีภาพบางประการที่นานเกินไป เช่น เสรีภาพในการแสดงความ
คิดเห็นอาจขัดต่อหลักการระหว่างประเทศว่าการจำากัดสิทธิเสรีภาพนั้น ต้องเป็นไป
เพื่อวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรม และต้องได้สัดส่วนกับความจำาเป็น
F การควบคุม จำากัด ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่าง ๆ ได้ถูกตีความอย่าง
กว้างขวางจนกระทบถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคลและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย
หรือโครงการของรัฐ และย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องเพื่อนำาไปประกอบการพิจารณา รวมถึงสิทธิในการมีส่วนร่วมในการจัดการ
การบำารุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความ
หลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน
F ในกรณีของคำาสั่ง คสช. ที่มีเจตนาเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ แต่กลับทำาให้เกิดผลกระทบ
ที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน เช่น กรณีคำาสั่ง คสช. ที่ ๖๔/๒๕๕๗ และที่ ๖๖/๒๕๕๗
เพื่อปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำาลายทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ต่าง ๆ ให้เป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ ปรากฏว่าได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย
และผู้ไร้ที่ดินทำากิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้น ๆ ก่อนคำาสั่งนี้มีผลบังคับใช้
๑๔ ข้อมูลระหว่างวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ - ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๘ มีพลเรือนขึ้นศาลทหารอย่างน้อย ๑๑๒ คนโดยแบ่งเป็น
คดีชุมนุมทางการเมืองเกิน ๕ คน อย่างน้อย ๕๐ คน คดีไม่มารายงานตัวตามคำาสั่ง คสช. อย่างน้อย ๑๐ คน คดีความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อย่างน้อย ๓๐ คน และมาตรา ๑๑๖ อย่างน้อย ๒ คน คดีอาวุธที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
อย่างน้อย ๔๙ คน และคดีอื่นๆ อย่างน้อย ๓ คน, ที่มา: โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)<http://ilaw.or.th/
node/3119> เข้าดู ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘