Page 211 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2557
P. 211
210 รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำาปี ๒๕๕๗
๓) พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
(๑) รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ควรให้ข้อพิพาทที่เกิดจากการใช้อำานาจตามพระราช-
บัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ อยู่ในอำานาจการพิจารณาของศาลปกครองหากเนื้อหา
ของคดีเป็นเรื่องคดีปกครอง แต่หากเนื้อหาของคดีเป็นเรื่องการกระทำาความผิดอาญา ก็สมควรให้อยู่
ในอำานาจพิจารณาของศาลยุติธรรมจึงจะเหมาะสม โดยมีเหตุผลเช่นเดียวกับมาตรา ๑๖ แห่งพระราช-
กำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
(๒) คณะรัฐมนตรี โดยสำานักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำาหนด
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเยียวยาความเสียหายตามมาตรา ๒๐ เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย
ให้แก่ประชาชนผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน
ราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
ผลการดำาเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
๑) เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ สำานักงานศาลยุติธรรมแจ้งว่า กระบวนการเข้ารับ
การอบรมตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ มาตรา ๒๑ ในขั้นตอนที่เกี่ยวกับ
ศาลยุติธรรมมีความโปร่งใส ชัดเจน คำานึงถึงความสมัครใจของผู้ต้องหา โดยศาลรับฟังความจากผู้ต้องหา
ก่อนออกคำาสั่งเสมอ จึงไม่ต้องมีคณะบุคคลตามข้อเสนอของ กสม.
๒) เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือแจ้งว่า
ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาร่วมกับหน่วยงานอื่นแล้วทำาเป็นรายงานภาพรวมประกอบ
การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้งได้แนบความเห็นของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีหน่วยงาน
ที่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะฯ ของ กสม. เช่น สำานักข่าวกรองแห่งชาติ เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายพิเศษ
ด้านความมั่นคงต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส สำานักข่าวกรองแห่งชาติและสำานักงาน
สภาความมั่นคงแห่งชาติเห็นพ้องกันว่า การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวควรมีความสมดุลระหว่าง
การรักษาความมั่นคงของรัฐและการเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชน กองอำานวยการรักษา
ความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) รับว่าจะจัดทำาหลักเกณฑ์การเยียวยาความเสียหายแห่งผู้ได้รับผลกระทบ
จากการใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ สำานักงานอัยการสูงสุด
เห็นว่าควรแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฯ โดยให้พนักงานอัยการ
มีอำานาจพิจารณาการนำาผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำาผิดตามกฎหมายนี้เข้าสู่กระบวนการอบรมได้
อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยงานได้ให้ข้อสังเกตต่อข้อเสนอแนะฯ ดังกล่าว เช่น กระทรวงกลาโหม
เห็นว่าไม่สมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกฯ ในขณะนี้ สำานักข่าวกรองแห่งชาติ
มีข้อสังเกตว่า ควรคงอำานาจการประกาศใช้กฎอัยการศึกของผู้บังคับบัญชาการทหารที่มีกำาลังอยู่ใต้บังคับ
ไม่น้อยกว่าหนึ่งกองพัน และอำานาจของนายกรัฐมนตรีในการขยายเวลาประกาศใช้พระราชกำาหนด
การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ กอ.รมน. เห็นว่าศาลที่มีอำานาจพิจารณาข้อพิพาทเนื่องจาก
การใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันให้เป็นอำานาจของศาลยุติธรรมนั้นเหมาะสมแล้ว