Page 60 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 60

58   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๒  ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘


                     ๔.๒  ความเห็นของหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง


                           ๔.๒.๑  ความเห็นที่ได้จากการรับฟังความเห็น
                                 คณะอนุกรรมการฯ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
               ได้เชิญรองศาสตราจารย์ ณรงค์ ใจหาญ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์

               ปกป้อง  ศรีสนิท อาจารย์ประจำาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีส่วนสำาคัญในการจัดทำา
               ร่างพระราชบัญญัติฯ และผู้แทนสำานักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สำานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน

               แห่งชาติ เข้าร่วมหารือและให้ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ดังมีรายละเอียด ดังนี้
                                 ๑)  รองศ�สตร�จ�รย์ ณรงค์ ใจห�ญ ให้ความเห็น ดังนี้

                                     ๑.๑)  การอนุวัติกฎหมายไทยให้สอดคล้องตามอนุสัญญา CAT และอนุสัญญา CPED
               สามารถทำาได้ ๒ แนวทาง คือ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา และการบัญญัติเป็นกฎหมายเฉพาะ

               ซึ่งกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพใช้ทั้งสองแนวทาง  อย่างไรก็ตาม แนวทางแรกมีข้อจำากัด คือไม่อาจนิยาม
               คำาว่า “ทรมาน” ให้ครอบคลุมความหมายตามอนุสัญญา CAT และไม่มีนิยามคำาว่า “การลงโทษอื่นที่โหดร้าย
                                 ่
               ไร้มนุษยธรรม หรือที่ยำายีศักดิ์ศรี”  ต่อมา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพพิจารณาเห็นว่า อนุสัญญา CAT และ
               อนุสัญญา CPED มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน จึงใช้การอนุวัติกฎหมายภายใน โดยนำามาบัญญัติรวมกันเป็นกฎหมายเฉพาะ
                                     ๑.๒)  อนุสัญญา CAT มีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการกระทำาทรมานและประกันว่า
               การกระทำาทรมานเป็นความผิดทางอาญา ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับ

               บุคคลให้สูญหายฯ  จึงกำาหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้
               สูญหายขึ้น  มีอำานาจหน้าที่เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐให้ปรับปรุงกฎหมาย กฎ
               มาตรการ กำาหนดนโยบายแผนงาน ขอให้ระงับการทรมาน สืบสวนสอบสวนข้อร้องเรียน ช่วยเหลือเยียวยา

               ผู้เสียหายทางการเงินและทางจิตใจ กำาหนดมาตรการคุ้มครองพยาน ศึกษาวิจัยและเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ และ
               จัดทำารายงานผลการดำาเนินการประจำาปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

                                     ๑.๓)  ร่างพระราชบัญญัติฯ ได้กำาหนดบทลงโทษสำาหรับการกระทำาความผิดฐาน
               การทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายให้ชัดเจน มีเหตุเพิ่มโทษกรณีผู้เสียหายเป็นเด็กและผู้หญิง มีมาตรการ
               ป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย มีกระบวนการดำาเนินคดีทรมานและคดีบังคับบุคคลให้สูญหาย

               โดยให้คำานึงถึงหลักประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดกันของตำาแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหากับ
               ผู้ให้ความช่วยเหลือสนับสนุนหรือเข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่/พนักงานสอบสวน ซึ่งกำาหนดไว้มาตรา ๓๗ มาตรา ๓๘

               วรรคหนึ่ง ตามลำาดับ
                                     ๑.๔)  ส่วนการฟ้องคดีต่อศาล  คณะทำางานแก้ไขกฎหมายภายในให้เป็นไปตาม
               อนุสัญญาฯ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ได้แก้ไขจากเดิมที่ให้

               พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเสนอความเห็นต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษ พิจารณาฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลอาญา
               (ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๓๙) เป็น ในกรณีทั่วไปให้ฟ้องศาลจังหวัด ส่วนกรณีการกระทำาผิดที่เกิดนอก
               ราชอาณาจักรและอยู่ในเขตอำานาจศาลไทยให้ฟ้องศาลอาญา นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๒๒

               และ ๒๓  บัญญัติให้สามารถยื่นคำาร้องต่อศาลอาญาในท้องที่เพื่อไต่สวนคดี เมื่อมีการอ้างว่ามีบุคคลถูกทรมาน
               รวมทั้งสามารถร้องขอให้ปล่อยตัวผู้ถูกจำากัดเสรีภาพ (คุมขัง) โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมาย
               วิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) มาตรา ๙๐ ได้
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65