Page 61 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 61
59
ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เล่ม ๒ ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘
๑.๕) อนุสัญญา CPED ข้อ ๖ ได้กำาหนดความผิดทางอาญาสำาหรับผู้บังคับบัญชา :
ที่ทราบหรือเจตนาละเลยข้อมูลซึ่งระบุว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาได้หรือจะกระทำาให้บุคคลสูญหายโดยถูกบังคับที่มี
อำานาจเหนือกิจกรรมซึ่งเกี่ยวกับความผิดฐานทำาให้บุคคลสูญหายโดยถูกบังคับ ที่ไม่ได้ดำาเนินมาตรการที่จำาเป็น
และเหมาะสมเพื่อป้องกันหรือระงับการทำาให้บุคคลสูญหายโดยถูกบังคับ แต่ร่างพระราชบัญญัติฯ ไม่มีนิยาม
คำาว่า ผู้บังคับบัญชา ไว้ เนื่องจากบัญญัติยาก แต่ได้กำาหนดบทลงโทษสำาหรับผู้บังคับบัญชาที่ทราบหรือจงใจ
เพิกเฉย และไม่ดำาเนินการป้องกันหรือระงับ หรือไม่สอบสวนและดำาเนินคดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่กระทำาผิดฐาน
ทรมานและทำาให้บุคคลสูญหายโดยถูกบังคับไว้ในร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๙
๑.๖) ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๒๑ กำาหนดเป็นหลักการว่า ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ที่จำากัดเสรีภาพบุคคลใดหรือศาลเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกจำากัดเสรีภาพ หากการเปิดเผยอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อบุคคลหรือความเป็นส่วนตัว หรือเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนคดีอาญา เว้นแต่การไม่เปิดเผยเป็น
เหตุให้เกิดการทรมาน การบังคับบุคคลให้สูญหาย หรือมีการคุมขังในสถานที่ลับ และมาตรา ๒๔ กำาหนดว่า
ห้ามมิให้ส่งตัวบุคคลออกนอกราชอาณาจักร หากเชื่อได้ว่าจะทำาให้ผู้นั้นถูกกระทำาทรมานหรือถูกบังคับให้
สูญหาย แต่ไม่มีข้อกำาหนดให้แก้ไขกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ อาจตั้งเป็นข้อสังเกตให้
แก้ไขกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายภายใต้ความรับผิดชอบของสำานักงานตรวจคนเข้าเมืองก็ได้ ส่วนการช่วยเหลือ
และเยียวยา ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๓๒ (๘) กำาหนดให้เป็นอำานาจหน้าที่ของคณะกรรมการตาม
ร่างพระราชบัญญัติฯ แต่ยังไม่ได้กำาหนดหลักเกณฑ์และวิธีดำาเนินการว่าควรอยู่ภายใต้สำานักงานช่วยเหลือ
ทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำาเลยในคดีอาญา กระทรวงยุติธรรม หรือเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยาน
ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ หรือตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำาเลย
ในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
๑.๗) ร่างพระราชบัญญัติฯ หมวด ๒ บัญญัติให้มีมาตรการป้องกันการทรมานและ
การบังคับบุคคลให้สูญหายสำาหรับเป็นแนวทางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวกับปฏิบัติตามอยู่แล้ว ส่วนการเพิ่ม
เติมเนื้อหาในร่างพระราชบัญญัติฯ ให้เชื่อมโยงกับระบบการเข้าเยี่ยมสถานที่ซึ่งทำาให้บุคคลเสื่อมเสียซึ่งอิสรภาพ
และกลไกการป้องกันในระดับชาติ (National Preventive Mechanism - NPM) ตามพิธีสารเลือกรับของ
อนุสัญญา CAT เห็นว่าไม่อาจทำาได้ และเห็นว่าหลักเกณฑ์และกระบวนการดำาเนินงานของระบบการเข้าเยี่ยม
และของกลไกการป้องกันในระดับชาติดังกล่าวอาจกำาหนดเป็นกฎกระทรวงได้ โดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับ
๑.๘) ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๔๑ ได้บัญญัติให้เชื่อมโยงกับประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) โดยระบุว่า การสืบสวนการสอบสวนและการดำาเนินคดีทรมานและคดีบังคับ
บุคคลให้สูญหายให้ใช้บทบัญญัติของ ป.วิ.อาญา และให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำาเนินคดีฯ มีอำานาจของ
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำารวจตาม ป.วิ.อาญา สำาหรับข้อกังวลว่า คณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัติฯ
มาตรา ๒๕ ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อการใช้อำานาจของคณะกรรมการตาม
ร่างพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๓๘ วรรคสาม ว่าด้วยการมอบหมายพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวน
ผู้รับผิดชอบคดีนั้น แม้มาตราดังกล่าวได้กำาหนดหลักการว่า “ให้คำานึงถึงหลักประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงมิให้
เกิดความขัดกันของตำาแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกกล่าวหากับผู้เป็นพนักงานสอบสวน” ก็อาจเพิ่มเติมข้อความว่า
ผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีฯ ต้องไม่อยู่ในหน่วยงานของรัฐ
สังกัดเดียวกับผู้ถูกสอบสวน