Page 364 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 364

สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
                                                                                               National Human Rights Commission of Thailand

                        “มาตรา 35 การชําระราคาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพยที่จัดซื้อตามพระราชบัญญัตินี้ ใหจายเปนเงินสด

               หรือเงินสดและพันธบัตรของรัฐบาล ตามหลักเกณฑและวิธีการที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา

                        การชําระคาทดแทนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพยที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ ใหจายเปนเงินสด

               สวนหนึ่ง และสวนที่เหลือใหจายเปนพันธบัตรของรัฐบาล ตามหลักเกณฑ และวิธีการที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
               ใหกระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอํานาจออกพันธบัตรเพื่อชําระราคาหรือคาทดแทนตามวรรคหนึ่ง

               และวรรคสอง และมีอํานาจกําหนดอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาไถถอน เงื่อนไข และวิธีการในการออกพันธบัตร

               ทั้งนี้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

                        พันธบัตรตามวรรคสามเมื่อครบกําหนดชําระใหชําระจากเงินของกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม”
               ตอมา ในป 2520 ไดนําเงินจากกองทุนสงเคราะหเกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะหเกษตรกร

               พ.ศ. 2517 จํานวน 100 ลานบาท ไปใหเปนกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในป 2520

                        ตอมา ในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2532 ไดมีการประกาศใชพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรม

               (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2519 ซึ่งเปนการแกไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
               โดยมีเหตุผลในการประกาศใชพระราชบัญญัติดังกลาวคือ ประเทศไทยไดจัดใหมีการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

               มาระยะหนึ่งแลว แตการดําเนินการยังมีอุปสรรคทําใหการงานไมอาจดําเนินไปโดยเหมาะสมตามควร

               สมควรขยายขอบเขตการจัดที่ดินในการปฏิรูปที่ดินใหกวางขวางขึ้นใหสามารถชวยเหลือผูที่ประสงคจะเปน

               เกษตรกรได และอาจจัดที่ดินใหแกผูประกอบกิจการสนับสนุนและตอเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินไดดวย เพื่อใหงาน
               ดําเนินไปครบวงจรของภาคเกษตรกรรม นอกจากนั้น ในการจัดหาที่ดินมาดําเนินการปฏิรูปที่ดินไดมีปญหา

               วาจะจัดซื้อที่ดินจากผูที่สมัครใจขายไดหมดทั้งแปลงหรือไม และการนําที่ดินของรัฐมาใชจัดที่ดินมีปญหาวา

               ยังไมมีแนวทางที่แนชัดระหวางหนวยงานที่รับผิดชอบ เกิดปญหาวา สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

               (ส.ป.ก.) สมควรจะนําที่ดินสวนใดมาใชจัดไดเมื่อใดและเพียงใด ทั้งยังมีขอจํากัดที่ ส.ป.ก. จะเขาดําเนินการในที่ดิน
               ที่มีผูประสงคบริจาคเพราะที่ดินนั้นตองกลายเปนที่ราชพัสดุและที่ดินอาจมีขนาดไมกวางมาก ซึ่งไมเหมาะสม

               ที่จะกําหนดเปนเขตปฏิรูปที่ดินเล็ก ๆ โดยพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับ สวนในขั้นนําที่ดินมาจัดใหแกประชาชนนั้น

               กฎหมายปจจุบันไดแยกขอแตกตางระหวางที่ดินที่เปนของรัฐมาแตเดิมกับที่ดินที่ไดมาโดยการจัดซื้อหรือเวนคืน

               ทําใหไมอาจจัดสิทธิในที่ดินใหแกประชาชนใหสอดคลองกัน สมควรแกไขโดยคํานึงถึงเปาหมายและความตองการ
               ของผูขอรับการจัดที่ดินเปนสําคัญเพื่อใหสิทธิในที่ดินมีสวนเกื้อหนุนสภาพความเปนอยูในภาคเกษตรกรรมตาม

               ความเปนจริง อนึ่ง องคประกอบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน

               จังหวัดและแนวทางในการกําหนดเขตปฏิรูปที่ดินยังไมเหมาะสม สมควรแกไขเพิ่มเติมกฎหมายปจจุบันเสียใหม

               จึงมีการแกไขเพิ่มเติมระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ใน 15 มาตรา ดังนี้







                                                                       รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข  343
                                                                นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”
   359   360   361   362   363   364   365   366   367   368   369