Page 49 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง การเลือกปฏิบัติในการประกอบอาชีพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี
P. 49
22 รายงานการศึกษาวิจัย
การเลือกปฏิบัติในการประกอบอาชีพของผูติดเชื้อเอชไอวี
ซึ่งเปนกฎหมายที่เกี่ยวของกับการกําหนดกลไกการรองทุกขภายใตกฎหมายวาดวยการขจัดการเลือกปฏิบัติ
รวมถึงการขจัดการเลือกปฏิบัติดวยเหตุแหงความพิการ (DDA) โดยกําหนดใหคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แหงเครือรัฐออสเตรเลีย (Australian Human Rights Commission) เปนองคกร/สถาบันที่ทําหนาที่กํากับดูแล
การบังคับใชกฎหมายและรับเรื่องรองทุกขจากการถูกเลือกปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาแนวทางปฏิบัติ (Guidelines)
ซึ่งไมมีผลผูกพันทางกฎหมาย ในคณะกรรมการสิทธิมุนษยชนไดแตงตั้งกรรมการที่ทําหนาที่ในประเด็น
40
การเลือกปฎิบัติดวยเหตุแหงความพิการ (Disability Discrimination Commissioner) เปนการเฉพาะ
ในป พ.ศ. 2553 - 2554 พบวา มีผูรองทุกขตอคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงเครือรัฐออสเตรเลียจากการ
ถูกเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากการเปนผูติดเชื้อเอชไอวี จํานวน 11 เรื่อง คิดเปนรอยละ 1 ของคํารองทุกขภายใต
กฎหมายฉบับนี้ นอกจากนี้ พบวา มีผูรองทุกขจากการถูกเลือกปฏิบัติดวยเหตุแหงความพิการในการจางงาน
จํานวน 672 เรื่อง คิดเปนรอยละ 31 ของคํารองทุกขในประเด็นตาง ๆ ซึ่งถือวาการเลือกปฏิบัติในการจางงาน
เปนประเด็นที่สําคัญรองลงมาจากการเลือกปฏิบัติจากการไดรับบริการและสิ่งอํานวยความสะดวกอื่น ๆ โดยทั่วไป
กระบวนการวินิจฉัยคํารองทุกขจะใชเวลาไมเกิน 12 เดือน จากสถิติคํารองทุกขที่ไดรับการวินิจฉัยทั้งหมด
961 เรื่อง มีคํารองทุกขเพียง 14 เรื่อง ที่ใชระยะเวลาในการวินิจฉัยเกิน 12 เดือน 41
ในป พ.ศ. 2555 เปนตนมา รัฐบาลแหงเครือรัฐออสเตรเลียไดมีการพิจารณาแกไขกรอบกฎหมาย
วาดวยการขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวของกับการขจัดการเลือกปฏิบัติ
ดวยเหตุแหงความแตกตาง ไดแก อายุ เพศ ความพิการ และเชื้อชาติ ใหอยูภายใตพระราชบัญญัติเดียวกัน เพื่อลด
ความซับซอนและความไมสอดคลองของกฎหมายแตละฉบับ เพื่อใหสาธารณชนมีความเขาใจเกี่ยวกับสิทธิและ
หนาที่ของตนภายใตกฎหมายดังกลาวไดดียิ่งขึ้น และเพื่อสรางกลไกการคุมครอง/รองทุกขที่มีประสิทธิภาพ และ
ขยายความคุมครองเพิ่มขึ้นในกรณีที่เหมาะสม สําหรับการคุมครองผูติดเชื้อเอชไอวีจากการเลือกปฏิบัตินั้น พบวา
42
DDA ยังคงมีปญหาในการบังคับใช โดยเฉพาะอยางยิ่งในประเด็นการพิจารณาการเลือกปฏิบัติทั้งทางตรงและ
ทางออม (test for discrimination) ซึ่งกลุมภาคประชาสังคมไดมีการเสนอใหมีการพิจารณานําเอาวิธีการพิจารณา
การเลือกปฏิบัติที่เปนรูปแบบเดียวมาใชกับการเลือกปฏิบัติทั้งสองประเภท เพื่อทําใหกระบวนการตรวจสอบ
งายยิ่งขึ้น โปรงใส และยืดหยุน ซึ่งจะทําใหผูติดเชื้อเอชไอวีซึ่งเปนผูรองที่ไมมีทนายหรือที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ใหความชวยเหลือในคดี (unrepresented litigant) สามารถเขาถึงความยุติธรรม นอกจากเสนอใหมีนําเอาประเด็น
เรื่องการลวงละเมิดเปนสวนหนึ่งของความหมายของการเลือกปฏิบัติ และใหมีการบัญญัติหนาที่เชิงบวก (positive
duty) ของหนวยงานที่เกี่ยวของ รวมตลอดถึง นายจาง ผูใหบริการในการสงเสริมการขจัดการเลือกปฏิบัติ
นอกจากนี้ ประเด็นภาระการพิสูจน มีขอเสนอควรใหฝายผูถูกกลาวหาเปนผูมีภาระในการนําสืบพิสูจน เนื่องจาก
พบวา ในกรณีการเลือกปฏิบัติจากการจางงาน เนื่องจากความสัมพันธเชิงอํานาจที่ไมเทาเทียมระหวางผูรองซึ่งเปน
ลูกจาง และผูถูกกลาวหาซึ่งเปนนายจาง ทําใหผูรองมีความยากลําบากอยางมากในการอาง หรือนําหลักฐาน
เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติซึ่งโดยปกติอยูในความครอบครองหรือควบคุมของผูถูกกลาวหามานําสืบใหปรากฎได
ดังนั้น หนาที่ในการนําสืบควรตกอยูที่ผูถูกกลาวหาซึ่งเปนไปตามแนวทางภายใต Fair Work Act 2009 43
40 Sections 113 - 120
41 http://humanrights.gov.au/about/publications/annual_reports/2010_2011/complaint-statistics.html
42 Attorney - General’s Department, Consolidation of Commonwealth Anti - Discrimination Laws - Discussion Paper, September 2011, visited
http://www.ag.gov.au/Consultations/Documents/ConsolidationofCommonwealthanti-discriminationlaws/Consolidation%20of%20
Commonwealth%20Anti-Discrimination%20Laws.pdf
43 HIV/AIDS Legal Centre, Consolidation of Commonwealth Anti-Discrimination Laws, February 2012, visited http://halc.org.au/wp-content/
uploads/2013/04/Consolidation-of-Discrimination-legislation.pdf