Page 179 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 1 ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 31 ธันวาคม 2557
P. 179

177
                                                   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                                                   ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๑  ระหว่าง ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ – ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗




                                    (๒)  ปัญห�เกิดจ�กนโยบ�ยของรัฐ ขณะเดียวกันก็มีการสร้างกระแสเพื่อทำาลาย

                     ความเชื่อมั่นของคนในประเทศ ปัญหาจึงไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น

                                    (๓)  แนวท�งหนึ่งในก�รแก้ไขปัญห�คว�มไม่สงบในพื้นที่ภ�คใต้ คือ ควรนำา
                     เทคโนโลยีมาช่วย เช่น ระบบดาวเทียม หรือกล้อง CCTV



                                ๔.๔.๒  พระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘

                                ๑)  ประเด็น องค์กรควบคุมหรือตรวจสอบตามกฎหมายนี้ ควรเป็นอำานาจของ

                     ศาลยุติธรรม หรือศาลปกครอง หรือทั้งสองศาล  ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้ความเห็น ดังนี้

                                    (๑)  รัฐธรรมนูญฯ บัญญัติไว้ชัดเจนในเรื่องเขตอำ�น�จของศ�ลยุติธรรมและ
                     ศ�ลปกครอง การที่พระราชกำาหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ บัญญัติไว้ว่า ไม่อยู่ใน

                     อำานาจของศาลปกครอง ขณะที่รัฐธรรมนูญฯ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า อยู่ในอำานาจของศาลปกครอง

                     เท่ากับว่า พระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไปลบล้างบทบัญญัติแห่ง
                     รัฐธรรมนูญฯ และตัดอำานาจศาลปกครอง เพราะการที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำาไปจะเกี่ยวข้องกับการ
                     กระทำาทางปกครอง

                                    (๒)  ปัญห�เรื่องกระบวนก�รพิจ�รณ�ของศ�ลปกครอง พบว่ามีความล่าช้า

                     มีขั้นตอนสูง จึงกำาหนดให้การกระทำาภายใต้พระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ
                     ขึ้นต่อศาลยุติธรรมจะมีความรวดเร็วกว่า

                                ๒)  ประเด็น พระราชกำาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘

                     มาตรา ๑๗ ที่กำาหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำานาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม
                     พระราชกำาหนดฯ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งทางอาญาหรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่

                     ในการระงับหรือป้องกันการกระทำาผิดทางกฎหมาย หากเป็นการกระทำาที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และ
                     ไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจำาเป็น  แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับผลความเสียหายที่จะเรียกร้อง

                     ค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ สมควรปรับปรุง
                     แก้ไข อย่างไร หรือไม่ ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ให้ความเห็น ดังนี้

                                    (๑)  ม�ตร� ๑๗ ที่บัญญัติว่าพนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำานาจหน้าที่เช่นเดียวกับ

                     พนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งทางอาญาหรือทางวินัย ไม่ได้บัญญัติว่าไม่ต้องรับผิด
                     เสมอไป  แต่บัญญัติยกเว้นโดยมีเงื่อนไขว่า หากสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เกินสมควรแก่เหตุ เป็นต้น

                     ซึ่งก็เป็นหลักทั่วไปที่ศาลใช้ในการวินิจฉัยคดี  อย่างไรก็ตาม การบัญญัติแบบนี้มีผลต่อการสร้าง
                     ความเข้าใจที่ไม่ดีของประชาชน

                                    (๒)  ถ้�ไม่มีก�รบัญญัติไว้ จะทำาให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ได้ดีกว่า เพราะจะไม่มี
                     ภาระการพิสูจน์เรื่องความสุจริต การไม่เลือกปฏิบัติฯ เป็นต้น
   174   175   176   177   178   179   180   181   182   183   184