Page 119 - คู่มือการทำความเข้าใจ เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
P. 119

คู่มือ การทำาความเข้าใจ เรื่อง สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 117







                             ๒๕๔๗  หนึ่งวันก่อนจะหายตัวไป ทนายสมชายยื่นคำาร้องต่อศาลระบุรายละเอียดการ

                             ทรมานลูกความทั้งห้าคน เขาอ้างว่าการกระทำาดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของลูกความ
                             และละเมิดประมวลกฎหมายอาญาซึ่งห้ามไม่ให้มีการทรมาน  เขายังแสดงความเห็นต่อ

                             สาธารณะและอย่างจริงจังในกรณีนี้  โดยกล่าวหาว่า ตำารวจกระทำาความผิดอย่างร้ายแรง
                             ในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๗ หนึ่งวันหลังจากเขายื่นคำาร้อง ตำารวจห้านายได้ลากตัวทนาย

                             สมชายออกจากรถใจกลางกรุงเทพฯ จากนั้นไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย

                             รูปแบบอาชญากรรมในลักษณะของการบังคับบุคคลให้สูญหายเช่นนี้ มักทำาให้กระบวนการ
                             เยียวยาเป็นไปโดยยากลำาบาก ในกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายของทนายสมชาย

                             นีละไพจิตร  หลังการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยืดเยื้อยาวนานและการต่อสู้อย่างกล้าหาญของ
                             คุณอังคณา นีละไพจิตร และลูกๆ รวมทั้งนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายคน

                             ตำารวจห้านายซึ่งลากตัวเขาออกจากรถเมื่อเก้าปีที่แล้วยังคงลอยนวลอยู่นอกเรือนจำา และ
                             ไม่เหลือข้อกล่าวหาที่จะดำาเนินคดีกับพวกเขาได้อีก ในทุกขั้นตอนของการสืบสวนสอบสวน

                             ตำารวจพยายามทำาให้เกิดความสับสน  ในขณะที่รัฐก็ขาดเจตจำานง (รวมทั้งผู้นำาระดับสูงสุด
                             ได้แก่ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร) ที่จะร่วมมือในการสอบสวน ทั้งยังมีการทำาลาย

                             พยานหลักฐาน ตามกฎหมายพยานหลักฐานของไทย หากไม่สามารถนำาศพมาพิสูจน์ได้
                             จะไม่สามารถตั้งข้อหาฆาตกรรม  เป็นเหตุให้ตำารวจที่เกี่ยวข้องถูกดำาเนินคดีในข้อหา

                             ลักทรัพย์ (รถยนต์ของทนายสมชาย) และการข่มขืนใจ โดยศาลตัดสินให้ตำารวจเพียงคนเดียว
                             มีความผิด และจากปัญหาด้านพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดี

                             ต่อเขาเมื่อปี ๒๕๕๔ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นเกี่ยวกับคำาตัดสินของศาลอุทธรณ์ ได้แก่ การ
                             ปฏิเสธไม่ให้ผู้เสียหายและครอบครัวมีส่วนร่วมในการดำาเนินการให้มีการรับผิดในคดีที่

                             ฟ้องร้องต่อผู้กระทำาความผิดคดีนี้  คุณอังคณา นีละไพจิตรและลูกได้ร้องสอดเป็นโจทก์
                             ร่วมกับพนักงานอัยการ ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ครอบครัวสามารถดำาเนินการ

                             ทางกฎหมายในนามของผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้  แต่ศาลอุทธรณ์มีคำาสั่งในคดีนี้
                             ว่ายังไม่มีหลักฐานที่แน่นหนาว่าทนายสมชาย นีละไพจิตรเสียชีวิตแล้ว  ด้วยเหตุดังกล่าว

                             ครอบครัวของเขาจึงไม่สามารถดำาเนินการแทนเขาได้  กล่าวอีกอย่างหนึ่ง การที่กฎหมาย
                             ไทยไม่มีความผิดเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย ทำาให้เกิดความยุ่งยากอย่างมากที่จะ

                             นำาตัวผู้กระทำาผิดมารับโทษ  ในปัจจุบัน คดีนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกา  โปรดดู
                             รายละเอียดการรณรงค์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียในกรณีนี้ได้ ที่นี่


                             เพื่อหาทางเยียวยาความอยุติธรรมในกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหาย หลังการต่อสู้ผลักดัน
                             มาถึง ๒๕ ปี ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศ

                             ว่าด้วยการคุ้มครองมิให้บุคคลสูญหาย (International Convention for the Protection of
                             All  Persons  from  Enforced  Disappearance)  เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๙ และเปิด
   114   115   116   117   118   119   120   121   122   123   124