Page 88 - รายงานฉบับสมบูรณ์ การประเมินศักยภาพและพัฒนาระบบงานและกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามมาตรา 257 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
P. 88

นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยได้ให้การรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของ

                  สหประชาชาติ ในปี พ.ศ. 2491 เป็นต้นมานั้น ยังไม่เคยมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ให้

                  อ านาจในการจัดตั้งองค์กรระดับชาติที่มีอ านาจหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น

                  แต่อย่างใด ดังนั้น ในการจัดท ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 จึงได้มี
                  บทบัญญัติให้จัดตั้งองค์กรที่มีอ านาจหน้าที่ดังกล่าวขึ้นไว้ในมาตรา 199-200 โดยใช้ชื่อว่า

                  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 คน และกรรมการอีก

                  10 คน ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามค าแนะน าของวุฒิสภา โดยการสรรหาจากผู้ที่มี

                  ความรู้หรือประสบการณ์ในด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยค านึงถึงสัดส่วนหญิง

                  ชายและผู้แทนจากองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน มีวาระในการด ารงต าแหน่ง 6 ปี โดยจะด ารง

                  ต าแหน่งได้เพียงวาระเดียวเท่านั้น

                         และประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของ

                  สหประชาชาติ ให้สัตยาบันกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่งและทางการเมือง และได้เข้า

                  ร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ อีกหลายฉบับ ดังนี้ อนุสัญญาเจนีวาเพื่อให้
                                  ่
                  ผู้บาดเจ็บและผู้ปวยในสนามรบมีภาวะดีขึ้น ค.ศ. 1949 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิทางการเมืองของ
                  สตรี ค.ศ. 1952 อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ค.ศ. 1979 และ

                  อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 เป็นต้น นอกจากการให้ความร่วมมือกับนานาประเทศดังที่

                  ได้กล่าวแล้ว ประเทศไทยยังได้ด าเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

                  ภายในประเทศอีกหลายประการ ได้แก่ การยกเลิกกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่ขัดหรือแย้ง

                  กับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และให้ความส าคัญต่อการจัดท ากฎหมาย ระเบียบ หรือ

                  ข้อบังคับที่จะออกมาภายหลังให้สอดคล้องกับหลักการของปฏิญญาสากลฯ ดังกล่าว



                         กลไกของรัฐในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
                         ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กลไกของรัฐ ถือเป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการบังคับใช้

                  กฎหมายและมีบทบาทอย่างมากต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย กลไกดังกล่าวนี้ มี

                  ทั้งกลไกที่มีอ านาจหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยตรง ได้แก่ คณะกรรมการสิทธิ

                  มนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีอ านาจหน้าที่ในการรับค าร้องเรียนและตรวจสอบในกรณีที่มีการละเมิด

                                                                          ้
                  สิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น และกลไกอื่นๆ ได้แก่ คณะกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริต
                                                                 ่
                                                                                             ่
                                                                               ่
                  แห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กลไกของฝายนิติบัญญัติ ฝายบริหาร และฝายตุลาการ
                  กลไกเหล่านี้มิได้มีหน้าที่โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ในการด าเนินการตามอ านาจ
                  หน้าที่ ได้มีส่วนช่วยส่งเสริมต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วยเช่นกัน เช่น การตรวจสอบการ


                                                          - 44 -
   83   84   85   86   87   88   89   90   91   92   93