Page 24 - รายงานโครงการศึกษา เรื่อง การจัดทำตัวชี้วัดสิทธิมนุษยชนเบื้องต้นตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
P. 24
12
คณะกรรมการฯ ได้ร่างปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเสร็จ และสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้มีมติ
รับรอง โดยมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 (ค.ศ. 1948) โดยมีแปดประเทศที่งดเว้นออกเสียง
18
ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ รัสเซีย และยุโรปคอมมิวนิสต์
พิจารณาในเรื่องขอบเขตของสิทธิมนุษยชน โดยที่สิทธิมนุษยชนมีพลวัตรสูงและความหมายขึ้นอยู่กับ
บริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงเป็นการยากที่จะก าหนดความหมายของค าว่า “สิทธิมนุษยชน”
ไว้ในตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ เช่นเดียวกันในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 4 เลี่ยงที่
จะใช้ค าว่า “สิทธิมนุษยชน” เพื่อให้กฎหมายรับรองคุ้มครองโดยใช้ค าว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิ
เสรีภาพแทน ในขณะที่พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ก็นิยามศัพท์ในเชิง
การก าหนดขอบเขต เพื่อประโยชน์ในการด าเนินงานของ กสม. ดังปรากฏในมาตรา 3
“สิทธิมนุษยชน” หมายความว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่
ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย หรือตาม
สนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม
การที่มาตรา 3 ก าหนดขอบเขตว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์....... ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้อง
ปฏิบัติตาม” แสดงโดยนัยว่า สิทธิมนุษยชน มีขอบเขตมากกว่าที่ประเทศไทยเป็นภาคี
โดยที่ โครงการนี้มุ่งพัฒนาตัวชี้วัดตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ
มนุษยชนไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะวิเคราะห์สถานะและลักษณะของสิทธิเชิงทฤษฎีที่ลึกซึ้ง ดังนั้นจึงไม่มีความ
จ าเป็นในการวิเคราะห์การเรียกร้องอื่นๆ ว่ามีลักษณะเป็นสิทธิมนุษยชนหรือไม่ แต่จะใช้สิทธิมนุษยชนที่รับรอง
โดยปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นฐานในการพัฒนาตัวชี้วัด
อย่างไรก็ตาม คณะผู้ศึกษาเห็นพ้องกันว่าสิทธิมนุษยชนหาได้มีจ ากัดอยู่เพียงเท่าที่รับรองไว้ในปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งได้ประกาศไว้กว่าหกสิบปีมาแล้วไม่
2.2 พันธกรณีระหว่างประเทศของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 257 ได้ก าหนดให้ กสม. มี
หน้าที่
“ตรวจสอบและรายงานการกระท าหรือการละเลยการกระท า อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไม่
เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี”
18 ibid.