Page 78 - รายงานฉบับสมบูรณ์ นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย-พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม
P. 78
๖๙
รายงานศึกษาวิจัย “นโยบายการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชายแดนไทย – พม่า : กรณีผู้อพยพจากภัยสงคราม”
ที่สถานีต ารวจได้ ส่วนกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย และอนุสัญญาว่า
ด้วยสิทธิลี้ภัยชายแดนที่ผู้ร้องอ้าง หากมีจริงก็หามีข้อบังคับยกเว้นกฎหมายของประเทศไทยไม่”
หมายความว่ากฎหมายระหว่างประเทศไม่สามารถบังคับใช้ในศาลไทย เข้าใจว่า ณ วันนี้ค า
พิพากษาของศาลยังคงแนวทางเดิมอยู่ คือ ไม่เปลี่ยนแปลง ตรงนี้ก็มาโยงกับข้อเสนอแนะในรายงานการ
วิจัยข้อที่ ๑๒ ถ้าส านักงานตรวจคนเข้าเมืองยังส่งคดีฟ้ องต่อศาล ค าพิพากษาก็ออกมาเหมือนเดิม ดังนั้น
แนวทางการแก้ไขในมิติทางกฎหมายก็คือ
๑) เจ้าหน้าที่ต ารวจ
๒) อัยการ
๓) ศาล
ในการส่งฟ้ องคดีต่อศาล ถ้าเราจะแก้การส่งฟ้ องต่อศาล หรือต่อส านักงานตรวจคนเข้าเมือง
น่าจะเพิ่มเติมเสนอประเด็นนี้ต่อส านักงานอัยการสูงสุดด้วย เพราะว่าเป็นกระบวนการล าดับที่ ๒ ถ้า ๒
องค์กรนี้ไม่ใช้ดุลยพินิจในทางบวกที่ไม่ส่งฟ้ องคดีต่อศาลข้ อหาที่เกี่ยวข้องกับหลบหนีเข้าเมือง
ตัวผู้ต้องหา หรือ จ าเลย ที่เป็นผู้ลี้ภัยก็ใช้ดุลยพินิจในทางบวกที่ไม่ส่งฟ้ องคดีต่อศาล หากแก้ในเชิงของ
ศาลอาจจะแก้ยาก แต่ถ้าเราแก้ในเชิงของกระบวนการแรก คือ ต ารวจ กระบวนการที่ ๒ คือ ส านักงาน
อัยการสูงสุดก็เป็นเรื่องที่น่าจะง่ายกว่า
เข้าใจว่ากฎหมายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อเสนอแนะที่ให้แต่ละ
หน่วยงานปรับ โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เรื่องนโยบายแก้ง่ายกว่า เพราะสามารถ
ออกได้เลย ดังนั้นควรเริ่มที่นโยบายก่อนค่อยแก้กฎหมาย แต่ถ้าบัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญจะ
สามารถก าหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่ด าเนินการให้การคุ้มครองเรื่องสิทธิในประเทศไทยได้ดีกว่า
โดยให้มีอ านาจหน้าที่ด าเนินการได้ตามกฎหมายนั้น ๆ ควรบัญญัติเป็นตัวกลางไว้ คือ หน่วยงานของรัฐ
ทุกหน่วยงานสามารถใช้ดุลยพินิจทางบวกได้ โดยทุกคนยอมรับ ซึ่งอาจต้องไปศึกษา และท านิยามเรื่อง
“ดุลยพินิจในทางบวกเรื่องการคุ้มครองสิทธิ” ให้ชัดเจนขึ้น