Page 31 - รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย : กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 12 มีนาคม 2553 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
P. 31
ความเห็น
การชุมนุมเป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองและคุ้มครองไว้ เป็นเสรีภาพ
ในการแสดงออกซึ่งอำานาจอธิปไตยของประชาชน และสิทธิพลเมืองในทางประชาธิปไตยในการ
เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองโดยปราศจากการขัดขวาง ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ใน มาตรา ๖๓ ว่า
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
การจำากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำานาจตาม
บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของ
ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ใน
สภาวะสงคราม หรือในระหว่างเวลาที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือประกาศใช้กฎอัยการศึก”
และรัฐธรรมนูญฯ ได้วางหลักสำาหรับการใช้สิทธิและเสรีภาพไว้ใน มาตรา ๒๘ ว่า
“บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่
ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี
ของประชาชน”
พิจารณาจากบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว เห็นได้ว่า การชุมนุมเป็นเสรีภาพของ
บุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง และได้รับการป้องกันการแทรกแซงจากอำานาจรัฐ แต่การใช้เสรีภาพ
ในการชุมนุมดังกล่าว ผู้ชุมนุมต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและไม่กระทำาการใดที่เป็นการละเมิด
ต่อกฎหมายโดยปราศจากเหตุอันสมควร และต้องไม่เป็นการใช้เสรีภาพที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ
สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นๆ ด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษา
ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ เมื่อวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๓ และนายกรัฐมนตรี
โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ ๗
เมษายน ๒๕๕๓ นั้น กลุ่ม นปช. ได้นัดชุมนุมใหญ่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ โดยเริ่มจัดตั้งเวที
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา โดยในช่วงต้นการชุมนุมของ
กลุ่ม นปช. ได้ดำาเนินไปด้วยความสงบและปราศจากอาวุธ แม้ว่าจะมีการปิดกั้นเส้นทางการจราจร
บางส่วน แต่ก็ยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนมากเกินสมควร และยังเป็นการชุมนุม
ที่อยู่ในกรอบและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๓
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้เข้าพบและหารือกับแกนนำากลุ่ม นปช. โดยเสนอแนวทาง
ปฏิบัติของกลุ่มผู้ชุมนุมและมีข้อตกลงร่วมกันว่า การชุมนุมจะต้องเป็นไปโดยสันติวิธีและไม่
กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น แต่ภายหลังจากที่ได้มีการเจรจาหาทางออกร่วมกัน
ดังกล่าวแล้ว กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ได้ขยายพื้นที่จากเวทีสะพาน
29
รายงานผลการตรวจสอบเพื่อมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
กรณีเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓