Page 7 - ประมวลความเห็นทางกฎหมาย ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2559 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2560
P. 7

๕



                       เห็นวา การฟองคดีตอศาลหรือองคคณะ (Tribunal) ใดๆ ที่ทําหนาที่วินิจฉัยตัดสินคดีขอพิพาทตาม
                       บทกฎหมายบานเมือง อันเปนกระบวนการตั้งตนแหงการอํานวยความยุติธรรมซึ่งเปนภารกิจพื้นฐาน

                       แหงรัฐที่พึงจะตองจัดใหบุคคลโดยเสมอกัน กลาวคือบุคคลทั้งหลายไมจํากัดวาจะตองเปนพลเมืองแหงรัฐ
                       (citizen) ที่มีอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่มีขอพิพาทหรือไมลวนมีสิทธิขั้นพื้นฐาน (fundamental
                       rights) ที่จะนําขอพิพาทหรือความเสียหายที่ตนไดรับไปรองขอทางเยียวยาจากศาลเนื่องจากการถูกโตแยง
                       สิทธินั้น ทั้งในกติการะหวางประเทศวาดวยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International
                       Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ขอ ๑๔ ก็ไดรับรองสิทธิดังกลาววาบุคคลทั้งปวง

                       ยอมมีสิทธิไดรับการพิจารณาอยางเปดเผยและเปนธรรมอันครอบคลุมไปถึงสิทธิที่จะเขาถึงกระบวนการ
                       ยุติธรรมหรือการนําคดีมาสูศาล ซึ่งรัฐมีภาระที่จะตองรับประกันวาบุคคลยอมมีสิทธิเชนวานั้นได
                                                           4
                       ในทุกกรณีโดยไมจํากัดสถานะของบุคคล และสิทธิดังกลาวยังไดรับการบัญญัติไวในรัฐธรรมนูญ
                       แหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ (๑) ที่วา บุคคลยอมมีสิทธิเขาถึงกระบวนการ
                       ยุติธรรมไดโดยงาย สะดวก รวดเร็วและทั่วถึง ที่รัฐพึงจะตองใหการรับประกันวาบุคคลไมวาจะอยูใน
                       สถานะใดๆ หรือสถานการณใดก็มีสิทธิที่จะเขาถึงกระบวนการยุติธรรมไดโดยสะดวก การกําหนดเงื่อนไข
                       และหลักเกณฑในกฎหมายอันอาจสงผลใหเกิดอุปสรรคตอการเขาถึงกระบวนการยุติธรรมเปนการ

                       ขัดหรือแยงตอรัฐธรรมนูญและกติการะหวางประเทศวาดวยสิทธิมนุษยชนที่ไทยเปนภาคี ซึ่งหากพิจารณา
                       จากถอยคําที่วา “ผูเสียหายที่ศาลไดมีคําพิพากษาใหจําคุกและมิไดอยูในระหวางการควบคุม” นั้นก็อาจ
                       ตีความไดวาผลแหงบทบัญญัติดังกลาวจะสงผลใหบุคคลสองประเภทจําเปนจะตองมาปรากฏตัวตอศาล
                       ดวยตนเอง คือ ผูเสียหายซึ่งอยูระหวางการหลบหนีการจับกุมโดยเจาหนาที่ และผูเสียหายที่ถูกปลอยตัว

                       ชั่วคราวในคดีอื่น หากพิจารณาตอไปจะเห็นไดวาในระบบกฎหมายของไทยที่กําหนดใหผูเสียหายมีสิทธิ
                       ฟองคดีอาญาดวยตนเองนั้นปรากฏวาจะตองเปนผูเสียหายโดยนิตินัย นั่นคือไมมีสวนรวมในการกระทํา
                       ความผิดซึ่งศาลมีอํานาจในการพิจารณายกฟองไดอยูแลว แตสําหรับในกรณีที่ผูเสียหายกระทําความผิด
                       ในคดีอื่น และประสงคจะใชสิทธิฟองคดีอาญาตอศาลนั้น จะดวยเหตุผลเรื่องความไมสะดวก ดานชื่อเสียง

                       ดานความปลอดภัยของตนเอง หรืออื่นใดก็ลวนเปนเหตุผลที่รัฐไมอาจนําเอาวัตถุประสงคในการมุง
                       ปราบปรามผูกระทําความผิดมาเปนเงื่อนไขวาปจเจกชนจะตองสละเหตุผลสวนตัวนั้นเสียกอนจึงจะมีสิทธิ
                       ฟองรองคดีตอศาลเพื่อเยียวยาความเสียหายแหงตนได

                                     ประเด็นที่สอง กรณีที่บัญญัติวาผูเสียหายอาจมอบอํานาจใหบุคคลยื่นฟองคดีตอศาล
                       แทนตนไดเวนแตจะเปนการใชสิทธิโดยไมสุจริต และทําใหจําเลยตองรับภาระเกินสมควรตามมาตรา ๑๕๗

                       (๒) และ (๓) ที่แกไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๓ แหงรางพระราชบัญญัติดังกลาวนั้น เห็นวา การใชถอยคํา
                       ดังกลาวเปนการใชถอยคําที่มีความหมายกวางขวาง ซึ่งไมสอดคลองกับหลักกฎหมายที่วา การจํากัดสิทธิ
                       ของบุคคลนั้นจะตองบัญญัติไวในกฎหมายโดยชัดแจง โดยเฉพาะในเรื่องการใชสิทธิโดยไมสุจริตนั้น

                       เปนถอยคําที่มีความหมายกวางขวางและแมอาจพิจารณาเจตนาของผูรางวาตองการจะปองกันการกลั่นแกลง
                       ฟองคดีกันเปนความอาญาอันเปนเจตนาหรือความสํานึกลวงรูวาการกระทําของตนรังแตจะสรางความเสียหาย
                       ใหแกผูอื่น อันเปนสวนหนึ่งของหลักสุจริตในทางอัตวิสัยก็ตาม แตการพิสูจนความสุจริตของคูความทั้งสอง
                       ฝายยอมเปนหนาที่ของศาลที่จะตองปรากฏขึ้นในชั้นพิจารณาอันไดมาจากการรับฟงขอเท็จจริงแหงคดี



                                     4  Ninetieth session (2007) General Comment No. 32: Right to equality before courts and tribunals and to a fair trial
   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12