Page 241 - รายงานศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาวิจัยผังเมืองกับการคุ้มครองสิทธิชุมชนและสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน
P. 241
สำานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
6.2.3 ข้อเสนอแนะด้านกฎหมาย
1) ก�รปรับปรุงพระร�ชบัญญัติก�รผังเมือง พ.ศ. 2518 ในส่วนของโครงสร้�งและองค์ประกอบ
ของกรรมก�รผังเมืองและก�รกระจ�ยอำ�น�จก�รตัดสินใจ ด้วยก�รมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ ท้องถิ่น
และชุมชน กรมโยธาธิการและผังเมือง ควรดำาเนินการด้วยการมีส่วนร่วม โดยเพิ่มกลไกคณะกรรมการ
ผังเมืองในระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นที่มีอำานาจการตัดสินใจผังเมือง การจำาแนกบทบาท อำานาจหน้าที่
ระหว่างคณะกรรมการผังเมืองระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับท้องถิ่นให้ชัดเจน โดยมีการกำาหนด
หลักเกณฑ์ ที่มา และองค์ประกอบของคณะกรรมการ ที่มีสัดส่วนขององค์กรชุมชน องค์กรเอกชน ในด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพร่วมเป็นกรรมการ โดยมีสัดส่วนที่เหมาะสม โดยกรรมการ
แต่ละระดับควรมีองค์ประกอบจากกลุ่มภาครัฐ ภาคประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิ และองค์กรชุมชน ในจำานวน
ที่เท่ากัน และในแต่ละกลุ่มควรมีจำานวนกรรมการที่มาจากทั้งด้านการพัฒนาทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ รวมทั้งพัฒนากลไกการประสานงาน การสนับสนุนทางวิชาการจากส่วนกลางไปยัง
หน่วยงาน และกลไกการวางผังและพิจารณาผังในระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่นด้วย
2) ก�รปรับปรุงกฎหม�ย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับก�รใช้ประโยชน์พื้นที่ เนื่องด้วยกิจกรรม
บางประเภทที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบการให้สัมปทาน อาชญาบัตร และ
ประทานบัตร ยังไม่อยู่ในการพิจารณาบรรจุไว้ในการจัดทำาข้อกำาหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน จึงเป็น
ช่องว่างในการพิจารณาอนุมัติอนุญาต เช่น เหมืองแร่ การสำารวจปิโตรเลียม ซึ่งไม่มีมาตรการในข้อกำาหนด
ผังเมือง เนื่องจากไม่ได้เป็นกิจการที่อยู่ในประเภทโรงงานซึ่งใช้อ้างอิง และกิจการดังกล่าวทำาให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงสภาพการใช้พื้นที่ ทั้งที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่เกษตรและชุมชน จึงทำาให้การควบคุมการใช้
ที่ดินไม่ครอบคลุมและไม่มีสาระที่นำาไปพิจารณาในการกำาหนดมาตรการป้องกันผลกระทบและการพิจารณา
อนุมัติอนุญาต
ดังนั้น กรมโยธาธิการและผังเมืองจึงควรปรับปรุงข้อกำาหนดควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้
ครอบคลุม โดยให้หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกลุ่มประเภทกิจกรรมที่มี
การขอสัมปทานดังกล่าว และควรมีการประเมินผลกระทบระดับยุทธศาสตร์ในเชิงพื้นที่ เพื่อกำาหนดทางเลือก
ในการกำาหนดเขตพื้นที่การให้สัมปทาน ซึ่งอาจต้องมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 และ
พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในประเด็นของการกำาหนด
พื้นที่เขตแหล่งแร่ และการกำาหนดพื้นที่ที่จะให้มีการสำารวจ ผลิต หรือเก็บรักษาปิโตรเลียม ซึ่งจะมีผล
ต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินในด้านอื่น จึงควรมีการกำาหนดด้วยการมีส่วนร่วมและมีการประเมินผลกระทบ
ระดับยุทธศาสตร์ก่อนประกาศเขต โดยให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ
ดำาเนินการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
240