Page 139 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่อง โครงการศึกษาวิจัยปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมของบุคคลผู้ที่มีอาการตาบอดสี
P. 139

130




                  (Universality & Inalienability) 3) สิทธิมนุษยชนไม่สามารถแยกเป็นส่วนๆ ว่าสิทธิใดมีความสําคัญกว่าอีก
                  สิทธิหนึ่ง (Indivisibility) 4) คนทุกคนมีความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ (Equality and nondiscrmi

                  nation)  5) การมีส่วนร่วมและการเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิ (Participation & Inclusion) 6) ตรวจสอบได้และ
                  ใช้หลักนิติธรรม (Accountability & the Rule of Law) (UNDP, 2006)
                                         หลักความเสมอภาคและหลักการไม่เลือกปฏิบัติถือเป็นหลักการแห่งสิทธิมนุษยชน
                  ที่สําคัญซึ่งปรากฏอยู่ในตราสารระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ อาทิ กฎบัตรสหประชาชาติ
                  (Charter of the United Nations, 1945, Preamble, Art.1(2), 3, 13 (1)(b), 55 (c) and 77 (C) ว่าด้วย

                  ข้อห้ามในการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุเชื้อชาติ เพศ ภาษา และศาสนา) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน พ.ศ.
                  2491 (1948) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2509 (1966) กติการะหว่าง
                  ประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม พ.ศ.2510 (1967) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วย

                  การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ  พ.ศ.2508  (1965)  อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ
                  ขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ  พ.ศ.2522  (1979)  อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก  พ.ศ.2532  (1989)
                  อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิผู้พิการ พ.ศ. 2549 (2006) เป็นต้น
                                         สําหรับในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2535  เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวปกปูอง

                  คุ้มครองและเผยแพร่แนวคิดสิทธิมนุษยชนค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นจนกระทั่งในปี พ.ศ.2540 จึงเกิดรัฐธรรมนูญ
                  ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางและยังมีบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนอย่างเด่นชัด รวมถึงการก่อให้เกิด
                  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2542
                  ขึ้นด้วย พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้นิยามคําว่าสิทธิมนุษยชนไว้ว่า “สิทธิมนุษยชน หมายความว่า ศักดิ์ศรีความ

                  เป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่ง
                  ราชอาณาจักรไทย หรือตามกฎหมายไทย หรือตามสนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม”
                                         กฎหมายระหว่างประเทศได้ให้ความสําคัญกับประเด็นปัญหาการเลือกปฏิบัติมา
                  อย่างยาวนานโดยพยายามกําหนดมาตรฐานทั่วไปให้ประเทศสมาชิกนําไปบัญญัติเป็นกฎหมายภายในประเทศตน

                  โดยแนวคิดการเลือกปฏิบัติจะปรากฏในตราสารระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนหลายฉบับดังกล่าวแล้ว
                  โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง และกติการะหว่างประเทศว่าด้วย
                  สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ ในข้อ 2 ของตราสารระหว่างประเทศ

                  ทั้งสองฉบับนี้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “รัฐภาคีแห่งตราสารฉบับนี้รับประกันให้มีการใช้สิทธิซึ่งกําหนดไว้ในกติกา
                  ฉบับนี้โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติชนิดใดๆ ที่เกี่ยวกับเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความเห็นทางการเมือง
                  หรือความคิดเห็นอื่น ชาติหรือสังคมดั้งเดิม ทรัพย์สิน กําเนิด หรือสถานะอื่น”
                                         คําว่า “สถานะอื่น”  นี้มีความหมายครอบคลุมถึงลักษณะต่างๆ ที่ไม่ได้กําหนดไว้เป็น
                  การเฉพาะและรวมตลอดถึง “สภาวะทางสุขภาพ” ตามความเห็นทั่วไป (General comments) ในเดือนพฤษภาคม

                  2543 ของคณะกรรมการว่าด้วยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (Committee
                  on Economic, Social, and Cultural Rights - CESCR) ความเห็นทั่วไป 14 ว่าด้วยสิทธิที่จะได้รับมาตรฐานด้าน
                  สุขภาพที่สูงที่สุดที่เป็นไปได้ กําหนดให้มีความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ โดยระบุว่า “ต้องจัดให้
   134   135   136   137   138   139   140   141   142   143   144