Page 429 - รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของผู้สูงอายุ: กรณีการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ
P. 429

โครงการศึกษาวิจัยเพื่อจัดท าข้อเสนอแนะนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิของผู้สูงอายุ :1111
                                                                  กรณีการเลือกปฏิบัติในผู้สูงอายุ | 371

             สมาชิกในครอบครัวที่ต้องออกจากงานมาท าหน้าที่ดูแล เป็นต้น กล่าวคือ ระบบประกันสังคมและระบบการ

             ประกันสุขภาพในปัจจุบันของประเทศไทย ยังไม่ได้ครอบคลุมการดูแลระยะยาวส าหรับผู้สูงอายุ

                       6.1.1.6 การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
                       การขาดการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุ ทั้งในภาคประชาสังคม

             ซึ่งได้แก่ องค์กรไม่แสวงหาก าไร และภาคเอกชน ซึ่งจากผลการส ารวจการใช้บริการต่าง ๆ ที่จัดให้โดยภาครัฐ
             ภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาก าไร ผู้สูงอายุทั้งหมดตอบว่าไม่เคยเข้าใช้บริการขององค์กรไม่แสวงหาก าไร
             เลย (มีเพียง 1 รายที่ตอบว่าใช้บริการด้านการศึกษาและฝึกอบรมและอีก 1 รายได้เข้าร่วมกิจกรรมชมรม)
             ส าหรับภาคเอกชนมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่เข้าใช้บริการด้านต่าง ๆ สูงสุด ประมาณร้อยละ 30 เท่านั้น และ
             เหตุผลที่ส าคัญอันดับแรกของการไม่เข้าใช้บริการของภาคเอกชน คือ ค่าใช้จ่ายสูง ประเทศไทยยังขาด

             ภาคเอกชนที่จะด าเนินการในลักษณะของวิสาหกิจหรือธุรกิจที่ไม่แสวงหาก าไร (Social enterprises) ในการ
             จัดให้บริการแก่ผู้สูงอายุ เช่น โครงการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน โครงการโภชนาการส าหรับผู้สูงอายุ (เช่น Meal-
             on-the-wheel) เป็นต้น

                       ส าหรับการมีส่วนร่วมของสมาชิกในครอบครัวในการดูและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะ คู่สมรส หรือบุตร
             หลานที่มีงานท าแต่ต้องลาออกจากงานเพื่อมาดูแลผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้ บุคคลเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการ
             คุ้มครองหรือช่วยเหลือจากนโยบายหรือมาตรการใด ๆ ในการส่งเสริมให้มีส่วนร่วม มีมาตรการจูงใจทางภาษี
             คือ การลดหย่อนภาษีในกรณีเลี้ยงดูบุพการี ในกรณีที่บุพการีไม่มีรายได้ ซึ่งอาจไม่ใช่มาตรการจูงใจพอที่จะ
             ช่วยให้บุคคลเหล่านี้ไม่เกิดปัญหาขาดรายได้และเกิดความเครียดที่อาจน าไปสู่การท าร้าย การละเลย หรือการ

             ทอดทิ้งผู้สูงอายุ
                       ส าหรับในกรณีของอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ก็ยังมีปัญหาในด้านมาตรฐานการท างานและการไม่
             มีแรงจูงใจทางการเงิน เนื่องจากการท างานดูแลผู้สูงอายุในชุมชนส่วนใหญ่จะไม่ได้รับค่าตอบแทน ในกรณีที่

             ได้รับก็เป็นค่าตอบแทนที่ต่ ามาก ปัจจุบัน กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้ทดลองเริ่มใช้ระบบธนาคารเวลาในพื้นที่
             น าร่อง โดยประกาศหาผู้ลงทะเบียนท างานดูแลผู้สูงอายุ โดยน าเวลาที่อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ ฝากไว้ใน
             ธนาคารเวลา และสามารถถอนเวลาที่ฝากไว้คืนในเวลาที่สูงอายุและต้องอาศัยการดูแลเป็นโครงการที่พึ่งได้
             เริ่มต้นในกลางปี 2561  และอยู่ในขั้นการลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครเท่านั้น
                              300






                  300 กรมกิจการผู้สูงอายุจึงน าแนวคิดธนาคารเวลาจากต่างประเทศ เช่น สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และ
             ญี่ปุ่น เป็นต้นมาประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้สูงอายุที่มีจ านวนเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย โดยได้ด าเนินการท าบันทึกข้อตกลงว่า
             ด้วยแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องการด าเนินงานธนาคารเวลาส าหรับการดูแลผู้สูงอายุของประเทศ
             ไทย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ระหว่างกรมกิจการผู้สูงอายุ ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และองค์กร
             ปกครองท้องถิ่น ที่เป็นพื้นที่น าร่อง จ านวน 42 พื้นที่ 28 จังหวัด และในพื้นที่เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยมีเจตจ านงที่จะ
             ส่งเสริมความร่วมมือของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้คนในสังคมดูแลซึ่งกันและกัน (สืบค้นจาก
             http://www.dop.go.th/th/gallery/1/1862) ผู้สนใจลงทะเบียนได้ที่ http://www.dop.go.th/th/news/8/1180
   424   425   426   427   428   429   430   431   432   433   434