Page 20 - รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรน้ำโดยใช้แนวทางสันติวิธี : กรณีศึกษาพื้นที่ต้นน้ำของประเทศไทย
P. 20

8



                       ชุมชน หรือหลายกลุ่มชาติพันธุ์ โดยไม่จ้ากัดเฉพาะกลุ่มคนในชนบทเท่านั้นแต่จะรวมถึงกลุ่มคนใน
                       เมืองด้วย กลุ่มคนเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ทางสังคม มีวัฒนธรรมร่วมกัน มีการจัดสรร การใช้

                       ทรัพยากรและมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งกลุ่มคนนั้นมีอ้านาจอันชอบธรรมถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ประเพณี

                       หรือข้อตกลงที่บุคคลในสังคมยึดถือร่วมกัน
                              พงศ์เสวก อเนกจ้านงค์พร และนวพร ศิริบันเทิงศิลป์ (2553) กล่าวว่า “สิทธิชุมชน” หมายถึง

                       ชุมชนมีสิทธิจัดการทรัพยากรทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และที่ไม่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเพื่อด้ารง

                       ไว้ซึ่งการอนุรักษ์ การฟื้นฟู ตลอดจนการจัดการเพื่อการด้ารงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป โดยสามารถต่อสู้
                       เพื่อหลุดพ้นจากกลไกของรัฐที่เข้ามาแทรกแซงอย่างแยบยล และสามารถต่อสู้และด้ารงอยู่ได้อย่างเป็น

                       ธรรมและสันติสืบไป

                              ดังนั้น ส้าหรับการศึกษาวิจัยนี้จึงอธิบายความหมายของ “สิทธิชุมชน” ว่า “อ้านาจโดยชอบ
                       ธรรมของคณะบุคคลหรือหมู่คณะที่มีวิถีชีวิตที่ด้าเนินไปเองตามธรรมชาติเพื่อด้ารงไว้ซึ่งการอนุรักษ์

                       การฟื้นฟู ตลอดจนการจัดการเพื่อการด้ารงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป”


                              2.1.3 บริบทในขอบเขตและการก าหนดสิทธิและหน้าที่ของชุมชน: ชาติชาย วิริยะเจริญกิจ

                       และสุรัสวดี แสนสุข (2560) ได้รายงานถึงสิทธิและหน้าของชุมชน ดังนี้

                              1) สิทธิภายใน หมายถึง การจัดความสัมพันธ์ต่อการใช้ทรัพยากรของสมาชิกในชุมชน เป็น
                       สิทธิของส่วนรวม (collective rights) ซึ่งใช้จัดการและควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรในท้องถิ่นหลาย

                       ประเภท เช่น การจัดการระบบเหมืองฝาย ป่าต้นน้้า ป่าช้า ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชุมชน และวัด เป็นต้น

                       และชุมชนมีสิทธิในการใช้ หรือสิทธิเก็บกิน (usufruct rights) หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการกระท้าโดย
                       เน้นกิจกรรมที่ท้าอยู่เป็นพื้นฐาน ผู้ใช้จะไม่สามารถผูกขาดสิทธินั้นไว้ได้โดยตลอด เพราะสิทธิจะหมดไป

                       เมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ดังนั้น สิทธิการใช้หรือสิทธิเก็บกินนี้ จึงไม่ผูกติดกับกลุ่มคนหรือปัจเจกบุคคล

                       กรณีศึกษาการใช้สิทธิภายใน เช่น
                              มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2561) ศึกษาการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชนของชุมชนประมง

                       พื้นบ้านอ่าวปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์ในการน้าเสนอแนวทางการเข้าถึงสิทธิชุมชนของชาวประมง

                       พื้นบ้านอ่าวปัตตานี ด้วยการท้าความเข้าใจสภาพปัญหาสิทธิชุมชนในระบบการจัดการและการเข้าถึง
                       ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลต่อการประกอบอาชีพ การรวมกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อเข้าถึงสิทธิชุมชนของ

                       ชุมชนของชาวประมงพื้นบ้านอ่าวปัตตานี ตลอดจนข้อเสนอแนะนโยบายที่เป็นรูปธรรม จากการศึกษา

                       พบว่า กลุ่มคนที่แตกต่างกันในอ่าวปัตตานีมีความเข้าใจและตีความค้าว่า “สิทธิชุมชน” แตกต่างกัน
                       กล่าวคือ ชาวประมงพื้นบ้านมองสิทธิชุมชนในลักษณะองค์รวม แต่หน่วยงานภาครัฐมองสิทธิชุมชน

                       แบบแยกส่วน โดยยึดโยงอยู่กับหลักการทางกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย จึงน้ามาสู่
                       ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการเข้าถึงสิทธิชุมชนในอ่าวปัตตานี 7 ด้าน คือ (1) ด้านการจัดสรรพื้นที่
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25