Page 114 - รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ 3 (วันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ถึง 25 พฤษภาคม 2564)
P. 114
ข้อเท็จจริงฟังเป็นอันยุติว่าจ�าเลยมิได้เป็นผู้กระท�าผิด ๒. ประเด็นการปล่อยตัวชั่วคราว
บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย เมื่อบุคคลใดกระท�าความผิดอาญา ในการด�าเนินคดี
ตามสมควรจากรัฐ แต่ในกรณีของนาย ย. ไม่เข้าหลักเกณฑ์ กับบุคคลนั้นต้องได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่า
ตามกฎหมายดังกล่าว ส�าหรับกรณีการถูกคุมขังเกินกว่า ศาลจะมีค�าพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระท�าความผิดจริง
โทษตามค�าพิพากษายังไม่มีกฎหมายใดก�าหนดให้ได้รับ และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนผู้กระท�าความผิดมิได้
การเยียวยา ซึ่งเป็นไปตามหลักการในกติกา ICCPR ข้อ ๑๔ และ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
การด�าเนินการ มาตรา ๓๙ การที่รัฐควบคุมตัวบุคคลไว้ในอ�านาจรัฐ
กสม. ได้พิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้อง รับฟังความเห็น ในระหว่างด�าเนินคดีเป็นไปเพื่อให้การสอบสวนด�าเนินไป
รายงานผลการดำาเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชุดที่ ๓
จากหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ และความเห็นของ โดยเรียบร้อย เพื่อประกันการมีตัวของผู้ต้องหาหรือจ�าเลย
คณะอนุกรรมการด้านเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอ และเพื่อประกันการบังคับโทษ แต่การควบคุมตัวบุคคล
๒๓
ในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ เพื่อส่งเสริมและคุ้มครอง ไว้ในอ�านาจของรัฐ โดยไม่ให้มีการปล่อยตัวชั่วคราว
สิทธิมนุษยชนแล้ว มีความเห็นในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ส่งผลให้บุคคลดังกล่าวได้รับการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างจาก
ผู้กระท�าความผิด และมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ
สำ�นักง�นคณะกรรมก�รสิทธิมนุษยชนแห่งช�ติ
๑. สิทธิในการได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ของผู้ต้องหาหรือจ�าเลย การปฏิบัติตามหลักการ
กติกา ICCPR ข้อ ๑๔ ข้อย่อย ๒ รับรองว่าบุคคล สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ควรที่จะปล่อยตัวระหว่าง
ซึ่งต้องหาว่ากระท�าผิดอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการ พิจารณาเป็นหลัก เพื่อที่จะให้ผู้ต้องหาหรือจ�าเลยมีโอกาส
สันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมาย ในการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์
ได้ว่ามีความผิด โดยคณะกรรมการประจ�ากติกา ICCPR ของตน และไม่ต้องถูกควบคุมตัวเป็นระยะเวลานานเกิน
ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สมควร และการควบคุมตัวไว้ในอ�านาจรัฐควรเป็นข้อยกเว้น
เป็นพื้นฐานของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และรัฐมีหน้าที่ เฉพาะในบางกรณีที่จะมีผลต่อการด�าเนินคดีเท่านั้น
ในการพิสูจน์ความผิดของจ�าเลยจนปราศจากเหตุอันควร
สงสัย ดังนั้น ก่อนที่รัฐจะพิสูจน์จนปราศจากข้อสงสัย กติกา ICCPR เป็นพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนที่
ว่าบุคคลดังกล่าวได้กระท�าความผิดจริง รัฐจะปฏิบัติ ประเทศไทยเป็นภาคีได้รับรองสิทธิของผู้ต้องหา
ต่อบุคคลดังกล่าวเสมือนเป็นผู้กระท�าความผิดไม่ได้ และจ�าเลยในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไว้ในข้อ ๙
๒๒
จึงถือได้ว่าเป็นหลักส�าคัญในการประกันสิทธิและเสรีภาพ ข้อย่อย ๓ โดยก�าหนดให้บุคคลใดที่ถูกจับกุมหรือควบคุม
ของผู้ต้องหาหรือจ�าเลยในคดีอาญา โดยรัฐธรรมนูญ ตัวในข้อหาทางอาญาจะต้องมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดี
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้บัญญัติ ภายในเวลาอันสมควรหรือได้รับการปล่อยตัว มิให้ถือเป็น
รับรองสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ใน หลักทั่วไปว่าจะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดี
มาตรา ๓๙ ว่า “ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า แต่ในการปล่อยตัวอาจก�าหนดให้มีการประกันว่าจะมา
ผู้ต้องหาหรือจ�าเลยไม่มีความผิด ก่อนมีค�าพิพากษาอันถึงที่สุด ปรากฏตัวในการพิจารณาคดี ในขั้นตอนอื่นของกระบวนการ
แสดงว่าบุคคลใดได้กระท�าความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น พิจารณา และจะมาปรากฏตัวเพื่อการบังคับตามค�าพิพากษา
เสมือนเป็นผู้กระท�าความผิดมิได้” ซึ่งสิทธิดังกล่าวยังคง เมื่อถึงวาระนั้น โดยคณะกรรมการประจ�ากติกา ICCPR
ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า การคุมขังระหว่างการพิจารณา
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ มาตรา ๔ จะต้องเป็นข้อยกเว้นมากกว่าที่จะเป็นหลักทั่วไป และ
การปล่อยตัวชั่วคราวอาจจะก�าหนดให้มีการประกันว่า
จะมาปรากฏตัวในการพิจารณา หรือในขั้นตอนอื่น
๒๒ UN. Human Rights Committee (90 sess. : 2007 : Geneva), General comment no. 32, Article 14, “Right to equality before courts and
th
tribunals and to fair trial”, (23 Aug 2007).
๒๓ คณิต ณ นคร , นิติธรรมอ�าพรางในนิติศาสตร์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : ส�านักพิมพ์วิญญูชน, ๒๕๔๘), หน้า ๘๔ - ๘๖. อ้างถึงใน สุรินทร์ มากชูชิต, “ระบบปล่อยชั่วคราว
ผู้ถูกกล่าวหา : ศึกษาการใช้หลักประกันในคดีอาญา,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๕๕), หน้า ๑๙ - ๒๒.
112